นกแก้ว บำรุงราษฎร์ : หนังตะลุง
นกแก้ว บำรุงราษฎร์ หรือ นกแก้ว เป็นหนังตะลุงชื่อดังของเมืองชุมพร คนทั่วไปมักเรียกว่า “ครูแก้ว ต้นหยวก” (หนังตะลุงสมัยก่อนเล่นกันหลายคนเรียกว่า “ต้นหยวก-ปลายหยวก” ต้นหยวก หมายถึงนายโรงใหญ่) ครูแก้วนอกจากจะเป็นหนังตะลุงมีชื่อแล้ว ยังเป็นครูมวยอีกด้วย
ประวัติความเป็นมาของครูแก้วไม่มีใครทราบกันมากนัก นายบุญกาศ ศรีสงคราม บ้านเลขที่ ๑๗๕ หมู่ที่ ๕ ตำบลทุ่งคา อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ได้ให้ข้อมูลพื้นฐานจากการสอบถามนางเล็ก บุตรสาวคนหนึ่งของครูแก้ว ขณะเมื่ออายุ ๘๗ ปี ซึ่งยังจำความได้บ้าง ให้ข้อมูลว่า ครูแก้ว มีบิดาชื่อหลวงสุวรรณ รับราชการอยู่ทางเมืองพัทลุง มารดาชื่อนางบุญนาค (ในสายสกุล ณ พัทลุง) มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา ๓ คน ชื่อ คง ทองนวน และบุญเกิด
ครูแก้วอพยพมาอยู่ชุมพรด้วยเหตุผลกลใดไม่มีใครทราบแน่ชัด บางท่านก็ว่าครูแก้วหนีความผิดมาจากเมืองพัทลุง มาได้ภรรยาเป็นคนหลังสวนชื่อนางเชย ต่อมาอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านทุ่งคา ในเขตอำเภอเมืองชุมพรในปัจจุบัน ครูแก้วมีบุตรกับนางเชย ๕ คนคือ นางสวน นายช่วง นางเล็ก (ผู้ให้ข้อมูล) นายเสริญและนางเจริญ ปัจจุบันเหลือบุตรเพียงนางเล็กและนางเจริญเท่านั้น นอกนั้นถึงแก่กรรมไปหมดแล้ว คนที่รู้ประวัติครูแก้วดีพอสมควรก็คือนางสวน ซึ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๔
ตามคำบอกเล่า ครูแก้วได้ฝึกการเล่นหนังมาจากเมืองพัทลุงก่อนมาอยู่ชุมพร กิตติศัพท์ความเด่นดังของครูแก้ว มีปรากฏในบันทึกการเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้เมื่อ ร.ศ.๑๒๘ ของพระบาทสมเด็จฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราช ขณะที่เสด็จประทับที่เมืองชุมพรนั้น พระวรฤทธิ์ฤๅชัย ผู้ว่าราชการเมือง ได้จัดมโหรสพมาเล่นถวายมีเพลง ๑ โรง หนังตะลุง ๑ โรง โนรา ๑ โรง หนังตะลุงที่มาเล่นในงานครั้งนี้ คือ หนังครูแก้วนั่นเอง เพราะข้อความที่บันทึกต่อมาว่า
“หนังตะลุงของนายนกแก้ว ที่ได้ไปเล่นอยู่หน้าจวนเมืองชุมพรนั้น ตามมาเล่นที่ท่าไม้ลายนี้ คนที่เกณฑ์มาหาบหามอยู่ข้างจะชอบมาก เสียงฮาบ่อย ๆ”
ครูแก้วจะเกิดปี พ.ศ.ใด ไม่ปรากฏแน่ชัด ประเมินจากคำบอกเล่าว่าครูแก้วถึงแก่กรรมประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ อายุ ๙๐ ปี ย้อนหลังขึ้นไป ก็คงประมาณปี พ.ศ. ๒๓๘๗ ครูแก้วน่าจะเป็นหนังตะลุงร่วมสมัยกับหนังเอี่ยม เกาะยอ เพราะขุนลอยฟ้าโพยมหน (หนังขับ ดีหลวง) ก่อนจะไปเป็นศิษย์ครูแก้ว สมัยยังเป็นวัยรุ่นได้หัดหนังกับหนังเอี่ยม เกาะยอมาก่อน ขุนลอยฟ้าฯ ขณะนั้นคิดว่าอายุคงประมาณ ๑๗-๑๘ ปี หัดอยู่กับหนังเอี่ยม ๒ ปีแล้ว ไปอยู่กับครูแก้วถึง ๙ ปี ช่วงระยะที่รัชกาลที่ ๖ เสด็จชุมพรขุนลอยฟ้าฯ น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย ภายหลังจึงกลับมาอยู่สงขลา เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ อุปราชมณฑลปักษ์ใต้เคยรับไปเล่นในตำหนักเขาน้อยรับราชทูตฝรั่ง ต่อมาจึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น “ขุนลอยฟ้าโพยมหน” เป็นศิษย์ที่ครูแก้วภูมิใจมากคนหนึ่ง ครูเขต ศรียาภัย ครูมวยมีชื่อของเมืองไชยา-ชุมพร มีความสนิทสนมกับครูแก้วเป็นอย่างดี เพราะครูแก้วเคยร่วมไปกับขบวนนักมวยไชยาขึ้นไปกรุงเทพฯ หลายครั้ง อาศัยที่ครูแก้วเป็นคนมีวิทยาอาคมขลัง ซึ่งบางคนก็บอกว่าครูแก้ว “เลี้ยงพราย” จึงรับทำหน้าที่แต่งมวย คือทำพิธีปลุกก่อนชก และปรากฏว่ามวยที่ครูแก้วแต่ง ไม่เคยถูกคู่ต่อสู้ต่อยจนแตกเห็นเลือดเลย แม้บางคนจะโดนศอกหน้าปูดโปน ครูแก้วจะใช้หัวแม่มือกับนิ้วชี้กดตรงจุดแล้วเป่าขมุบขมิบก็ราบไปทุกราย ครูเขต ศรียาภัย ได้บันทึกถึงครูแก้วไว้ใน “ปริทัศน์มวยไทย” ความว่า
“ครูแก้วแสดงหนังตะลุงลือชื่อในทางเจรจาและเป่าปี่ใน ครูแก้วประชันหนังตะลุงไม่มีวันแพ้ เป็นที่ประจักษ์แก่เจ้าเมืองที่ทดลองหาความจริงหลายคน คำเจรจาติดตลกของครูแก้วผู้ฟังได้ยินมักเฮและขบขันจนปวดท้อง แม้โนราซึ่งเป็นมหรสพที่ชาวใต้สมัยโน้นโปรด เพราะลิเก ภาพยนตร์หรือละคร หรือมหรสพอื่น ๆ ยังไม่แพร่หลายไปถึงชุมพรก็สู้หนังตะลุงครูแก้วไม่ได้ เสียงปี่ในที่ครูแก้วเป่าโหยหวนจนเสด็จกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ โปรดรับสั่งว่าฟังไพเราะโหยหวนไม่แพ้เสียงปี่ขุนลอยฟ้าโพยมหน ทั้งนี้มักประจักษ์จากคราวที่มีมหรสพประชันกันหลาย ๆ โรง เช่น ในงานนักขัตฤกษ์ของบ้านเมือง หนังตะลุงครูแก้วมักมีคนดูมากกว่าโรงอื่น ๆ เพราะใคร ๆ ก็ติดอกติดใจครูแก้วเอามาก ๆ ดูแล้วไม่อยากไปไหนจนกว่าจะเลิก คำเล่าลืออีกเสียงหนึ่งมีว่าครูแก้วมีคาถา “ตอกสลัก” เจ้าเมืองท่านหนึ่งย้ายไปจังหวัดชุมพรใหม่ ๆ และไม่เชื่อคำเล่าลือ ครั้นถึงคราวมีงานขึ้นปีใหม่ ได้สั่งให้สร้างโรงหนังตะลุงสำหรับครูแก้วไว้ห่างศาลากลางจังหวัดมาก ชาวบ้านก็ยังอุตส่าห์เที่ยวถามหาและตามไปดูหนังครูแก้ว ทั้ง ๆ ที่มีหนังตะลุงและมหรสพอื่น ๆ แสดงอยู่ใกล้ ๆ ศาลากลาง
อีกคราวหนึ่งในงานเฉลิมฯ เจ้าเมืองกระซิบสั่งขุนสมานนรชน (แดงช้าง) กำนันตำบลท่าตะเภา ให้สั่งพวกหนังตะลุงและโนรา แสดงให้เต็มที่เพื่อให้ประชาชนชม จนกว่าจะส่งเจ้าหน้าที่มาบอกเลิก ปรากฏว่าหนังตะลุงและโนราโรงอื่น ๆ ไม่มีคนดู ส่วนหนังตะลุงครูแก้วซึ่งตั้งโรงอยู่ที่ทุ่งศาลาแดง ห่างจากศาลากลางถึงกิโลเมตรกว่า หลงแสดงอยู่จนถึงเวลาที่ท้องถิ่นเรียกกันว่าไก่ขัน ๒ หน (ประมาณตีสี่) คนดูก็ไม่มีใครกลับบ้าน ยืน (ประเพณีท้องถิ่นนิยมยืนดู) เมื่อยก็ใช้ผ้าขาวม้าปูนอนดู ซึ่งเป็นที่งงงันแก่ท่านเจ้าเมืองจนยอมเชื่อ “ของดี” ครูแก้ว
ครูแก้วเป็นคนเก่าที่มีอิทธิพลประหลาดพิสดารหลายอย่าง..นำมาเล่าเฉพาะที่รู้กันแพร่หลาย ๒ เรื่อง ดังนี้
ที่จังหวัดชุมพร เมื่อสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว มักจัดให้มีการชนควาย อันเป็นประเพณีป้องกันควายชนกันตาย เพราะไม่มีการช่วยเหลือตัวแพ้ อีกประการหนึ่งการชนควายต้องให้ชนกันตอนเช้าแดดไม่ร้อน ประชาชนมาดูควายชนจากท้องที่ห่างไกล (เดินด้วยเท้าตั้งชั่วโมง) ยังไม่ได้กินอาหารเช้า ทางท้องที่ที่มีควายชนต้องจัดอาหารเลี้ยง เป็นการเชื่อมความสามัคคีระหว่างประชาชนต่างถิ่น การชนควายไม่เหมือนวัว แผลเขาควายมักลึกกว่าแผลเขาวัว เวลาควายชนกันมักเกิดแผลเลือดสาด แต่ชาวชนบทโบราณก็มีวิธีกัน โดยให้ควายกินว่านชนิดหนึ่ง ทำให้ควายหนังเหนียวผิดปกติขวิดไม่ค่อยเข้า.... ครูแก้วสามารถเสกคาถา “กันตา” หรือ “บังตา” มิให้ควายขวิดถูกลูกนัยน์ตา (ทำให้ตาบอด) วิธีทำก็เห็นง่าย ๆ ไม่ปิดบัง คือเอานิ้วชี้ล้วงเข้าไปในเพดานปาก แล้วเอามือที่ติดน้ำลายนั้นวนรอบ ๆ นัยน์ตาควายทั้งสองข้าง เป่า๓-๔ ทีก็ใช้ได้ ควายชนกันนานเท่านานก็ไม่เห็นถูกลูกนัยน์ตา หรือใครว่าจะเป็นปกติธรรมดาของควายที่ระวังรักษาตาของมันก็ตามใจ...
อภินิหารอีกอย่างของครูแก้ว คือสามารถเสกเชือกอะไรก็ได้ สุดแท้จะคว้าได้ในยามฉุกเฉิน แล้วว่าคาถา พลางผูกขากรรไกรหนีบหมากจากเชี่ยน (ภาชนะใส่หมากพลูใช้ตามชนบทสมัยก่อน) เพื่อมิให้ตัวมุดสัง (ชะมด) ลอบกัดไก่ที่ชาวบ้านเลี้ยงเอาไปกิน แม้ไก่ถูกกัดตายแต่มุดสังก็กินไม่ได้ เป็นความจริงและประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเหตุและผลไม่สัมพันธ์กัน ครูแก้วก็ยังกำชับว่าเมื่อได้ไก่คืนแล้วไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ต้องแก้เชือกที่ผูกขากรรไกรหนีบหมากออก อย่ารอไว้หลายวันมิฉะนั้นมุดสัง (อีเห็นก็เรียก) จะอ้าปากไม่ขึ้นจะถึงตายเป็นบาป และที่ร้ายก็คือวิชาจะเสื่อมตามคำสาปของครูบาอาจารย์ ซึ่งคนโบราณเกรงนัก
กำเนิดไอ้เอียด
ปรากฏแก่คนทั้งหลายว่าครูแก้วเป็นคนสนุกและใจดี ปกติไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน ทำนองพระธุดงค์ หรือจะเรียกว่าเป็นคนร้อนวิชาก็คงได้ บางคราวก็พาลูกศิษย์ลูกหาเที่ยวแสดงหนังตะลุงโดยไม่เอาเงิน เพียงแต่ขอข้าวกินไปมื้อหนึ่ง ๆ แล้วเดินทางต่อไป ครูแก้วให้อรรถาธิบายว่าเพื่อให้ลูกศิษย์มีประสบการณ์ ครูแก้วเคยเดินทางแบบนี้แวะตามตำบลต่าง ๆ จากชุมพรจนกระทั่งจังหวัดเพชรบุรี
วันหนึ่งครูแก้วกับลูกศิษย์กำลังเดินผ่านทุ่งนาซึ่งห่างจากบ้านผู้คนพบเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งไว้จุก แก้ผ้า ท้องป่อง แขวนลูกมะพรวนที่บั้นเอว กำลังตักน้ำในหนองด้วยกะลามะพร้าวเอาไปหยอดที่รูระแหง (รอยแตกตามท้องนา) อยู่คนเดียวโดยไม่แยแสกับใคร ครูแก้วถามเด็กน้อยว่า “ทำอะไร ไอ้หนู”... “จับจิ้งหยีด”... เป็นคำตอบแปร่ง ๆ ของเด็กเมืองเพชร ครูแก้วถามต่อไปว่า “เอ็งชื่ออะไรวะ”... “ไอ้เอียด”... เป็นคำตอบห้วน ๆ โดยไม่แยแสตามเคย เพียงเท่านั้นยังความแปลกใจและขบขันแก่ครูแก้วผู้เป็นต้นตอของคำขบขันเป็นอย่างมาก
ในเวลาต่อมา ปรากฏว่าครูแก้วได้แกะสลักหนังตะลุงขึ้นเหมือนเด็กเล็กเมืองเพชรคนนั้น ขนาดตัวสูงประมาณ ๕ นิ้ว ไม่ว่าครูแก้วไปแสดงหนังตะลุงที่ไหน “ไอ้เอียด” ย่อมอยู่ภายในถุงผ้าต่างหากจากแผงหนัง ซึ่งเป็นที่รวมของตัวอื่น ๆ และคงประจำติดตัวครูแก้วอยู่เสมอ... เชื่อว่าชาวชุมพรที่มีอายุ ๔๐ ปี ขึ้นไปคงรู้จักไอ้เอียดของครูแก้ว…มีผู้เล่ากันว่า “ไอ้เอียด” เป็นตัวหนังซึ่งเกิดจากหนังฝ่าตีนคนตายโหง ฉะนั้นคนที่เคยไปนอนพักบ้านครูแก้วที่ตำบลทุ่งคา จึงมักได้ยินเสียงลูกกระพรวนในเวลากลางคืน…
ครูแก้วถึงแก่กรรมไปนานแล้วด้วยโรคชราเมื่ออายุประมาณ ๙๐ ปี ลูกศิษย์ครูแก้วเท่าที่ทราบ คือ ขุนลอยฟ้าโพยมหน (หนังขับ ดีหลวง) หนังชื่น โภคากร หนังเชษฐ์ สำหรับรูป “ไอ้เอียด” ตกทอดมาถึงหนังเชษฐ์ ภายหลังที่หนังเชษฐ์ถึงแก่กรรม จึงไม่ทราบว่าตกไปอยู่ที่ผู้ใด ที่บ้านเดิมครูแก้วเหลืออยู่เพียง เจดีย์เล็ก ๆ เป็นอนุสรณ์สำหรับชาวบ้านแถวนั้นที่นับถือครูแก้วอยู่จนทุกวันนี้