ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี พ.ศ.๒๕๒๕ ได้อธิบายเกี่ยวกับไพร่สมไว้ว่า “ไพร่สม (โบ) น. ชายฉกรรจ์อายุครบ ๑๘ ปี เข้ารับราชการทหารฝึกหัดอยู่ ๒ ปี แล้วย้ายมาเป็นไพร่หลวง” คำอธิบายข้างต้น เป็นคำอธิบายเรื่องไพร่สมตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้อธิบายไว้ในตำราประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งไม่ตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะจดหมายเหตุรัชกาลต่าง ๆ ตอนต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ตามหลักฐานในจดหมายเหตุสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้จำแนกไพร่ออกไว้คร่าว ๆ ๓ ประเภทคือ ไพร่หลวง ไพร่ส่วย และไพร่สม ไพร่หลวงหมายถึงไพร่ที่สังกัดมูลนายอยู่ในราชธานี หรือหัวเมืองจัตวารอบ ๆ เมืองหลวง ไพร่เหล่านี้เมื่อมีราชการสงครามก็เกณฑ์เข้ากองทัพหลวงยามปรกติก็เกณฑ์ไปทำราชการให้แก่เมืองหลวงตามอัตราที่ทางราชธานีเป็นฝ่ายกำหนด ไพร่ส่วยมีฐานะคล้าย ๆ กับไพร่หลวง แต่มีมูลนายควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดและประจำอยู่ตามหัวเมือง เพื่อทำส่วยต่าง ๆ ส่งให้แก่รัฐบาลกลาง เป็นต้นว่า ส่วยดีบุก ส่วยทองบุตรจีน ส่วยสรรพเหตุ ส่วยธง ส่วยดินประสิว ส่วยฝาง ส่วยเร่ว ฯลฯ ในระยะแรก ๆ ไพร่ส่วยเหล่านี้ทำส่วยเหล่านั้นจริง ๆ แต่ต่อมาภายหลังเมื่อระบบเศรษฐกิจแบบใช้เงินตราขยายตัว โดยเฉพาะตั้งแต่รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต้นมา ไพร่ส่วยเหล่านี้ไม่ต้องทำส่วยอีกต่อไปเพียงแต่ทำงานต่าง ๆ ไป เมื่อสิ้นปีก็ส่งเงินแทนส่วยประมาณปีละ ๗ บาท ไพร่ส่วยนี้แม้ประจำอยู่ตามหัวเมือง แต่เจ้าเมืองกรมการจะเกณฑ์ไปทำราชการใด ๆ ในหัวเมืองไม่ได้ทั้งสิ้น และไพร่ชนิดนี้ในแต่ละเมืองจะมีจำนวนไม่มากนัก น้อยกว่าไพร่อีก ๒ ชนิดมาก
ไพร่สม หรือเรียกว่า “สม” หรือ “สมกำลังเจ้าเมืองกรมการ” เป็นไพร่ที่สังกัดอยู่ตามกรมกองต่าง ๆ ของเจ้านายที่ทรงกรม หรือไพร่ที่สังกัดอยู่ตามหัวเมืองเมื่อเกณฑ์ไปรบ ไพร่เหล่านี้จะไม่สังกัดกองทัพหลวง แต่จะสังกัดอยู่ตามกองทัพของเจ้านายหรือหัวเมือง ยามปรกติไพร่เหล่านี้ไม่ได้เกณฑ์ไปทำงานพระนคร แต่จะทำราชการกับเจ้านายหรือหัวเมือง โดยเฉพาะไพร่สมหัวเมืองภาคใต้ ทางรัฐบาลกลางได้กำหนดแบ่งให้เจ้าเมืองกรมการใช้งาน ดังปรากฏในหนังสือกราบบังคมทูลของพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชื่น บุนนาค) ผู้รักษาราชการในตำแหน่งสมุหพระกลาโหมปี พ.ศ.๒๔๓๕ ดังนี้คือ
“การที่ผู้ว่าราชการเมือง กรมการเกณฑ์ราษฎรใช้ราชการต่าง ๆ แลอาศัยใช้สอยเชนนี้มาช้านาน แต่เมืองกำเนิดนพคุณออกไปจนถึงเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกนั้น เกณฑ์กันในเลก ๒ จำพวกคือ จำพวกหนึ่งเลกสมเจ้าเมืองกรมการมีขุน หมื่น สม ทาส แบ่ง ๓ ส่วน ยกไว้สำหรับใช้สอยราชการบ้านเมือง แลเจ้าหมู่มูลนายขอแรงใช้สอย ๒ ส่วน เกณฑ์ตัดกระดานส่วนหนึ่ง เรียกว่า ส่วยกระดาน” และอีกจำพวกหนึ่งก็คือไพร่ส่วยซึ่งกล่าวไว้แล้วข้างต้น
อย่างไรก็ตามการเกณฑ์ไพร่สมใช้ราชการนั้นไม่ได้เป็นไปตามที่รัฐบาลกลางกำหนด “แต่ผู้ว่าราชการเมือง...ใช้ราชการบ้านเมืองทั่วกันหมด ถึงกำหนดปีจะส่งส่วยก็คิดเฉลี่ยเอาแต่คนพวกนี้ ส่งตามทะเบียนบาญชีย์แห่งเดิม แต่...ส่วยกระดานนี้จำหน่ายไม่ได้เพราะยกไว้ ๒ ส่วน แล้ว...และส่วยกระดานนี้เจ้าเมืองกรมการเกณฑ์เรียกใช้สอยทุกบ้านทุกเมืองแล้วยังต้องเฉลี่ยเรียกส่วยส่งแทนกระดานอีก ขุนหมื่นไพร่พวกนี้จึงได้รับความเดือดร้อน โดยจะบังคับบัญชาไปประการใด ๆ ก็คงจะเคลือบคลุม อาศัยใช้สอยอยู่เสมอ ยากที่ไพร่จะมาร้องฟ้องถึงกรุงเทพมหานครได้”
ไพร่ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นไพร่หลวง ไพร่ส่วย หรือไพร่สม จะถูกเกณฑ์ไปทำราชการตั้งแต่ อายุ ๑๖ ปีไปจนกระทั่งอายุ ๗๐ ปี การกำหนดอายุชายฉกรรจ์ว่าเริ่มตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี ไปจนถึงอายุ ๖๐ เพิ่งเริ่มขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๔๒ นี้เอง เนื่องจากการนำเอาพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหารมาใช้ และการกำหนดว่าไพร่สมมีอายุระหว่าง ๑๘-๒๐ ปี ไพร่หลวงมีอายุระหว่าง ๒๐-๖๐ ปี ก็เพื่อลบเลือนระบบไพร่ในอดีตในระบบกินเมือง ที่แยกไพร่ออกเป็นไพร่เมืองหลวง กับไพร่หัวเมือง เพราะไม่สอดคล้องกับการสร้างรัฐประชาชาติในสมัยพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (สงบ ส่งเมือง)