นกเขาชวา

นกเขาชวา


         
         นกเขาชวา หรือ นกเขาเล็ก เป็นนกประเภทหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ COLUMBIDAC นกเขาชวาอยู่ในสกุล Geopelia striata Linnaeus มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Zebra Dove มีสีเทาคล้ำ หางยาวประมาณ ๘-๙ นิ้ว

การที่นกชนิดนี้ได้ชื่อว่านกเขาชวานั้น มีผู้ตั้งขอสังเกตไว้ ๓ ประการ คือ

๑. เป็นนกที่พบมากในชวา ประเทศอินโดนีเซีย
๒. เสียงขันของนกเขาเล็กดังกังวานไพเราะคล้ายเสียงปี่ชวา
๓. แขกชวาเป็นผู้นำนกเขาชวามาเลี้ยงในประเทศไทย แต่ในชวาเองกลับเรียกนกชนิดนี้ว่า “บูรง ปรดกูตด” และชาวมาเลยเซียเรียกว่า “บูรงตีเต”

          มีผู้สันนิษฐานว่า คนไทยเริ่มเลี้ยงนกเขาชวามาอย่างน้อยก็แต่สมัยรัตนโกสินทร์แล้ว มีหลักฐานที่ยืนยันได้แน่ชัด คือ มีพระราชตำรับดูลักษณะนกเขา ในพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตำรับดูนกเขาของเจ้าพระยาบดินทร์เดชา และตำราดูนกเขาของหลวงทิพวาที ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าในสมัยนั้น คนไทยคงจะนิยมเลี้ยงนกเขาชวาค่อนข้างมาก และนิยมเล่นกันตั้งแต่ระดับชาวบ้าน จนถึงระดับขุนนาง และพระมหากษัตริย์ในราชสำนัก จนมีตำรับตำราเกี่ยวกับการดูลักษณะนกเขาชวาพิมพ์ออกมาเผยแพร่หลายเล่ม

          แหล่งนกเขาชวาที่พบมากในประเทศไทยสมัยก่อน คือ แถวป่าลึกจังหวัดกาญจนบุรีและสุพรรณบุรี นกเขาพันธุ์ดีในอดีตของภาคใต้ ส่วนใหญ่จะได้จากนกป่าของภาคกลาง ส่วนแหล่งนกเขาชวาพันธุ์ดีที่พบในภาคใต้มีแห่งเดียวเท่านั้น คือ ที่จังหวัดกระบี่ และนกเขาขอบตาเหลืองซึ่งมีที่ประเทศอินโดนีเซียเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่จัดเป็นนกเขาพันธุ์ดี บางครั้งก็เคยพบนกลักษณะแบบนี้ในประเทศไทยเหมือนกัน ในสมัยก่อนเริ่มนิยมเล่นนกเขาชวาทางภาคใต้ก่อนภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีผู้เล่ากันว่า นิยมเลี้ยงนกเขาชวามาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๐ แล้วเริ่มขยายวงกว้างออกไปทาง ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ภายหลังเมื่อการเล่นนกเขาชวาแพร่หลายมากขึ้น พ่อค้านกเขาภาคกลางได้พยายามหานกเขาพันธุ์ดีจากภาคกลางมาขาย ผู้เลี้ยงนกเขาทางภาคใต้ มีผู้เล่ากันว่า ชาวบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เคยนำนกเขาชวามาขายที่ภาคใต้เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๐ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ พอถึงช่วงสงครามโลก การซื้อขายนกก็หยุดชะงักชั่วคราว นกเขาชวาที่มีผู้นำมาขายที่ภาคใต้ในสมัยนั้นเป็นนกเขาจากจังหวัดกาญจนบุรีและสุพรรณบุรีเป็นส่วนใหญ่ เพราะนกเขาชวาจาก ๒ จังหวัดนี้ ได้รับยกย่องจากนักเล่นนกเขาว่าเป็นนกเขาพันธุ์ดี

          ต่อมาการเลี้ยงนกเขาชวาได้ขยายวงกว้างมาถึงจังหวัดราชบุรี เพชรบุรี นครปฐม ชลบุรี จนกระทั่งประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๘ ชาวอำเภอมีนบุรี และชาวอำเภอหนองจอกเดิมนิยมเลี้ยงนกเขาชวาและนิยมต่อนกเขาชวามาขายทางภาคใต้ ชาวอำเภอมีนบุรีและอำเภอหนองจอกที่นำนกเขามาขายนี้ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามเหมือนชาวไทยมุสลิมภาคใต้ จึงทำให้การซื้อขายเป็นไปด้วยดี

ส่วนทางจังหวัดชัยนาทและอุทัยธานี เริ่มนิยมเลี้ยงประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ และในช่วง พ.ศ. ๒๕๐๓-๒๕๐๔ เริ่มนิยมเลี้ยงที่จังหวัดนครสวรรค์ ครั้นถึง พ.ศ.๒๕๐๕ จึงได้ขยายวงกว้างถึงจังหวัดตาก พิจิตร สระบุรี นครนายก
พันธุ์นกเขาชวาที่นิยมเลี้ยง มี ๒ ชนิด คือ นกเขาป่า และนกเขาลูกผสม

 

นกเขาป่า 

การหานกเขาชวามาเลี้ยงเพื่อฟังเสียงหรือประกวดประชันเสียง ในสมัยโบราณเป็นไปด้วยความลำบากอย่างยิ่ง เพราะต้องหานกเขาพันธุ์ดีจากป่าลึกของแหล่งนกเขาตามจังหวัดที่ได้ชื่อว่ามีนกเขาพันธุ์ดี

สมัยก่อนใช้วิธีหานกป่าพันธุ์ดีจากป่าลึกมาเลี้ยง ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

วิธีใช้นกต่อ วิธีนี้ต้องอาศัยนกเขาชวาที่อาด (คึก) แล้ว ซึ่งมักจะขยันขันและต้องหาชนิดขันทนด้วย โดยผู้ต่อนกจะต้องฝึก “นกต่อ” ให้หัดอยู่ในเพนียด (เพนียด คือกรงต่อนกเขา) ที่ขึ้นแขวนตามพุ่มไม้จน “นกต่อ” เคยชิน โดยต้องพยายามคอยสังเกตว่า “นกต่อ” ของตนมีท่าทางสู้นกป่าได้หรือไม่

มีข้อสังเกตว่า ถ้า “นกต่อเสียงเล็ก” มักจะต่อได้นกเสียงเล็กและนกเสียงกลาง แต่ถ้าเป็น “นกต่อเสียงกลาง” ก็มักจะต่อได้นกเสียงที่ใหญ่กว่า ข้อสำคัญก็คือ นกป่าที่เสียงใหญ่มาก ๆ “นกต่อ” มักไม่สามารถต่อได้เพราะ “นกต่อ” จะกลัวเสียงนกป่าจนถึงกับดิ้นและบินหนีอยู่ในเพนียด โดยจะไม่ยอมขันเมื่อต่อนกในครั้งต่อไปอีก ด้วยเหตุนี้นักต่อนกที่เก่งจะใช้ “นกเจ่า” มาช่วย (นกเจ่า คือนกตัวเมียที่เอาไปผูกติดกับเพนียดไว้ เมื่อนกป่าคิดจะมาแย่งตัวเมีย ก็จะหลงกลเข้ามาติดกับ) แต่นกป่าที่ฉลาดบางตัวถึงมีนกเจ่ามาล่อก็ไม่หลงกล แถมบางครั้งยังแสดงความดุร้ายโดยการบินมาเกาะที่เพนียดเพื่อจิกตี “นกต่อ” ในเพนียด โดยเจ้าของ “นกต่อ” บางคนต้องแก้ไขด้วยการเอา “ตัง” (ตัง คือยางไม้ของต้นไทร ต้นโพ ต้นข่อย ยางพารา และน้ำมันยาง) ไปติดไว้ที่หลักเพนียดหรือตามกิ่งไม้ใกล้ ๆ เพนียด โดยใช้ “นกต่อ” ล่อ “นกป่า” ให้หลงกลมาติดยางตามกิ่งไม้ที่นกป่าเหยียบก็จะ “ติดตัง” นกป่าก็จะบินหนีไม่ได้ เพราะขาติดตัง แต่การจับนกป่าด้วยวิธีให้ติดตังนี้ ทำให้นกป่าบอบช้ำมาก เพราะต้องแกะเอาตังตามขนนกออก ทำให้ขนหลุดและนกเจ็บบอบช้ำ นกป่าที่ได้มาโดยวิธีนี้มักจะเลี้ยงให้เชื่องยากเพราะขวัญเสียจากการเจ็บบอบช้ำจากตังนั่นเอง

การหานกเขาที่จะใช้เป็นนกต่อนั้นก็สำคัญไม่น้อย เพราะนอกจากจะต้องเป็นนกเขาที่เสียงดีแล้ว ก็ยังต้องเป็นนกเขาที่สู้นกด้วย ลักษณะที่พอจะจัดว่าเป็นนกเขาที่สู้นกนั้น มีผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตไว้ดังนี้

- ต้องเป็นนกที่แข้งแตกมาก ๆ จะสู้นก และใช้ต่อนกได้ดี
- นกที่มีสร้อยรอบคอจะเป็นนกต่อได้ดี
- ถ้ามีเส้นลายหลังติดกันตั้งแต่ ๑ เส้นขึ้นไป และลายนั้นติดกันมากเส้น จะเป็นนกที่สู้นกได้ดี
- นกที่มีเคราใต้คางเป็นนกนักเลง จะสู้นกได้ดี
- นกที่ยืนขาถ่างและสูง จะมีเสียงขันหนักแน่นและสู้นกได้ดี

นกเขาที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวข้างต้น จัดได้ว่าเป็นนกที่ใช้เป็นนกต่อได้ดี

วิธีแทงตัง การจับนกด้วยวิธีนี้จะทำเมื่อมีความจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เพราะการจับนกเขาด้วยวิธีนี้ ทำให้นกป่าบอบช้ำมากดังได้กล่าวมาแล้ว จะใช้เมื่อนกป่าตัวนั้นฉลาดมาก และเป็นนกป่าที่มีเสียงไพเราะมาก และใช้วิธีต่อไม่ได้ผล จึงต้องใช้วิธีแทงตัง วิธีจับนกแบบนี้ “นักต่อนก” ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมาก คือ ต้องคอยจับตาเฝ้าดูว่านกป่าที่ต้องการนั้น เกาะที่ต้นไม้ต้นใดในตอนเช้า ลงกินอาหารกินน้ำที่ไหนและนอนที่ใด จะต้องคอยเฝ้าดูตลอดเวลา เพราะนกป่าบางตัวจะเปลี่ยนที่นอนบ่อย ๆ เช่น เวลาหัวค่ำจะจับกิ่งไม้นอนที่ยอดไม้สูง ๆ แต่พอตอนดึกกลับย้ายไปจับกิ่งไม้ที่ยอดไม้ต่ำ บางตัวกลับย้ายลงมานอนที่พุ่มไม้เตี้ย ๆ ใกล้พื้นดิน เมื่อ “นักต่อนก” รู้ที่นอนของนกเขาชวาแน่นอนและเป็นนกป่าที่ต้องการ ก็จะจัดการทำไม้ยาวติดยางไว้ที่ปลายไม้ แล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้ เอาไฟฉายส่องเข้าตานกป่า ทำให้นกป่าตาพร่ามัวไม่ทันหนี นักต่อนกจะใช้ช่วงจังหวะตอนนี้ เอาไม้ติดยางยื่นไปให้ถูกตัวนก เรียกว่า “แทงตัง” เพราะนกจะติดยางบินหนีไม่ไหว นักต่อนกโดยวิธีแทงตังก็จะได้นกป่าที่ต้องการ

วิธีดักตาข่าย นกเขาป่าสมัยก่อนจะอยู่กันเป็นฝูง ฝูงละ ๑๐-๒๐ ตัว เวลาสาย ๆ นกป่าจะบินลงมากินอาหารตามทุ่งนาหรือทุ่งโล่งที่มีดอกหญ้า หรือข้าวหน้าเหลือง กินน้ำ กินทรายแล้วจึงจะบินกลับไปเกาะบนยอดไม้ ตอนบ่าย ๆ จึงจะลงมาหาอาหารกินอีก แล้วกลับไปนอนเมื่อใกล้ค่ำ

การจับนกป่าด้วยวิธีดักตาข่าย ต้องทำในช่วงจังหวะที่นกป่าพากันลงมากินอาหารและต้องรู้ว่าเมื่อนกป่ากินเสร็จแล้วจะบินไปเกาะที่ต้นไม้ต้นใด แล้วจึงจัดการเอาตาข่ายไปขึงไว้ที่ต้นไม้ต้นนั้น จากนั้นจึงทำให้นกเขาป่าตกใจด้วยการส่งเสียงดังหรือขว้างปาด้วยก้อนหิน นกป่าก็จะตกใจแล้วบินขึ้นสูงไปเกาะที่ต้นไม้ที่มีตาข่ายดักไว้ด้วยความเคยชิน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่เคยเกาะมาก่อน เมื่อบินขึ้นไปสูงก็จะปะทะกับตาข่ายตกลงก้นตาข่ายที่ดักไว้ นักดักนกก็จะขึ้นไปรวบตาข่ายลงมาจับนกเขาเข้ากรง แต่การดักนกป่าด้วยวิธีนี้เสียเวลามาก และบางครั้งก็ได้นกป่าไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป วิธีดักนกป่าแบบนี้จึงไม่เป็นที่นิยม และสิ่งสำคัญก็คือ การดักนกเขาป่าวิธีนี้มีส่วนทำให้นกป่าสูญพันธุ์

วิธีจับนกเขาป่าทั้งวิธีต่อนก แทงตัง และดักตาข่าย จะทำให้นกเขาป่าไม่ยอมขันในระยะแรกหรืออาจจะขันแต่เสียงไม่ไพเราะ ไม่ออกปลายเหมือนตอนที่ได้ยินจากในป่า และบางครั้งอาจมีการจับผิดตัวหรือบางครั้งมิได้จับผิดตัว แต่คิดว่าจับผิดตัว ด้วยผู้จับไม่มีความอดทนพอ เมื่อเห็นนกเขาป่าไม่ขันก็ปล่อยทิ้งไป หรืออาจให้ผู้อื่นต่อ แต่ถ้ามีความอดทนโดยปล่อยนกป่าที่ได้ทิ้งไว้สักระยะหนึ่งก่อน จนกว่านกป่าจะลืมป่าบางครั้งก็ลืมป่าเร็ว แต่บางครั้งหรือบางตัวก็ลืมช้า เคยมีนกเขาป่าบางตัวใช้เวลานานถึง ๑๗-๑๘ เดือน จึงจะลืมป่าก็มี แล้วจึงจะขันเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในป่า

นกป่าที่ได้มาควรจะมีการฝึกให้นกหัดขัน เรียกว่า “หัดให้นกโกรก” ซึ่งต้องใช้เวลามาก ต้องใช้ความพยายามกว่าจะฝึกนกให้ได้ดีตามที่ต้องการได้ คือต้องหมั่นฝึกทุกเช้าและเย็น โดยเฉพาะช่วงเย็น จะนิยมนำไปฝึกที่ป่าลึก เพื่อให้นกเขาหัดโกรกคูกับนกเขาในป่า การฝึกเช่นนี้มีส่วนช่วยให้นกป่าที่ได้มามีเสียงดีขึ้นตามลำดับ

การจับนกป่าในระยะหลังหมดความนิยม ด้วยเหตุผลหลายประการ มีผู้รู้และผู้ใกล้ชิดกับวงการนกเขา เล่าถึงเหตุผลที่หมดความนิยมว่า

๑. เสียเวลาในการฝึกนกนานเกินไปจนน่าเบื่อ โดยเฉพาะในรายที่เจ้าของนกเขาไม่มีความอดทนพอ
๒. หานกต่อที่ดีตามลักษณะไม่ได้ ก็จะทำให้ต่อนกเขาได้นกไม่ดีเท่าที่ควร
๓. การจับนกป่าด้วยวิธีการดังกล่าวข้างต้น เป็นการทำให้นกป่าสูญพันธุ์
๔. ผู้มีอาชีพเป็นนักต่อนกรู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากต้องใช้เวลาในการต่อนกค่อนข้างมาก บางครั้งนานเป็นเดือน และยังต้องเตรียมเสบียงอาหารไปไว้หุงต้มและกินในป่า ทั้งยังต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงนกเขาทั้งหลับและตื่นตลอดเวลา ต้องใช้ความอดทนอย่างมากกว่าจะได้นกเขาป่ามา มิหนำซ้ำบางครั้งก็ไม่ได้นกป่าดีอย่างที่หวังไว้ด้วย

นกเขาลูกผสม 

           นักเล่นนกเขาในสมัยต่อมา จึงได้คิดหาทางนำนกเขามาผสมพันธุ์เอง เริ่มนิยมผสมมานาน ประมาณ ๒๐ ปีที่ผ่านมา โดยการหานกพันธุ์ดีทั้งเพศผู้และเพศเมียมาผสมกัน ซึ่งการผสมแบบนี้อาจจะได้ลูกนกที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ ไม่มีความแน่นอน นกเขาที่ได้จากการผสมแบบนี้เรียกว่า “นกลูกผสม” แต่การผสมพันธุ์แบบนี้ต้องใช้ความชำนาญค่อนข้างมาก ต้องสังเกตจนรู้กิริยาอาการของนก ต้องรู้ใจนกเขาเวลาฟักไข่ รู้เวลาที่ให้อาหารนกด้วย

นักเล่นนกเขานิยมเอานกเขาป่าพันธุ์ดีเสียงดี ขยันขันมาผสมพันธุ์ ส่วนมากจะคอยเอานกป่าที่เคยชนะการประกวดแข่งขันเสียงมาแล้ว ที่เริ่มมีอายุมาก หรือเริ่มจะขันเสียงตก มาผสมพันธุ์ขยายลูกหลาน ลูกนกผสมแบบนี้ดีในส่วนที่เล่นได้เร็ว ทันใจดี ไม่ต้องทนฝึกนานเหมือนนกป่า อย่างเร็วที่สุดบางครั้งใช้เวลาฝึกเพียง ๔-๕ เดือน ก็เล่นได้แล้ว คือได้ที่จนสามารถเข้าประกวดแข่งขันเสียงได้ นกเขาที่ได้จากการผสมระหว่างนกเขาป่ากับนกเขาป่า หรือนกเขาป่าผสมกับนกลูกผสม หรือนกลูกผสม ผสมกับนกลูกผสมก็เรียกว่า “นกลูกผสม” ทั้งสิ้น ทางภาคใต้ได้ริเริ่มเล่นนกลูกผสมก่อนภาคอื่น ๆ

การผสมพันธุ์นกเขาชวา 

           หาพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่ดีมาลองปล่อยรวมกันในกรงเดียวกัน แล้วคอยสังเกตว่านกทั้งสองเพศจะจิกตีกันหรือไม่ เพราะโดยลักษณะทั่ว ๆ ไป นกเขามักมีนิสัยขี้หึงและดุร้าย บางทีเพียงพบหน้ากันครั้งแรกยังไม่ทันจะได้เกี้ยวพาราสีกัน นกเขาเพศผู้ก็จิกตีนกเขาเพศเมียจนตายก็มี ถ้านกเขาเพศเมียไม่ยอมรับรักด้วย หรือบางครั้งในทางกลับกัน นกเขาเพศเมียก็อาจจะเป็นฝ่ายจิกตีนกเขาเพศผู้จนถึงตาย ถ้าเกิดไม่พอใจนกเขาเพศผู้ที่อยู่ร่วมกรงเดียวกัน ดังนั้นก่อนจะปล่อยนกเขาลงผสม ควรจะทดลองเอานกเขาทั้งสองเพศขังกรงวางเคียงกัน แล้วคอยสังเกตดูอาการของนกเขาในเวลากลางคืน ถ้าเห็นว่านกเขาจากกรงทั้งสองซึ่งได้วางเทียบติดกันนั้นมานอนเกาะคอนใกล้ ๆ กันหรือไม่ ถ้านอนใกล้กันก็แสดงว่านกเขาทั้งสองเพศกำลังจะเริ่มรักกันแล้ว สามารถจัดการจับมาขังในกรงผสมพันธุ์ได้ แต่ถ้ายังไม่ยอมนอนใกล้กัน ก็จะต้องลองวางกรงเทียบไว้อย่างนั้นอีกประมาณ ๒-๓ สัปดาห์ หรืออาจนานกว่านั้น จนกว่านกเขาทั้งสองเพศจะยอมรักกันก่อนจะปล่อยในกรงผสมพันธุ์ มีบ่อยครั้งที่ทำเช่นนี้แล้วนกเขาทั้งสองเพศก็ยังไม่ยอมรักกัน บางครั้งทันทีที่เห็นหน้ากันเมื่ออยู่ในกรงผสมพันธุ์ นกเขาทั้งสองเพศก็ยังจะไล่จิกตีกันอีก ถ้าตีกันมากจนอีกฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บมาก ก็จะต้องจับนกเขาที่เป็นฝ่ายตีไปขังไว้ในกรงขนาดเล็ก แล้วแขวนไว้ในกรงผสมพันธุ์ ส่วนนกเขาฝ่ายที่ถูกตีก็ยังคงปล่อยให้อยู่ในกรงผสมพันธุ์กรงเดิม โดยขังไว้ประมาณ ๑-๒ สัปดาห์ ระยะเวลาที่ขังไว้ขึ้นอยู่กับความบอบช้ำของนกเขาที่ถูกตี พอนกเขาที่ถูกตีหายเจ็บ จึงปล่อยนกเขาที่เคยเป็นฝ่ายตีไปรวมกับนกเขาฝ่ายที่ถูกตี และถ้าหากว่ายังตีกันอีกก็ให้จับนกเขาฝ่ายที่ชอบตีมาขังอีก ทำอยู่เช่นนี้จนกว่านกเขาทั้งสองเพศจะรักกัน ซึ่งบางครั้งก็พบว่านกเขาบางคู่ไม่ยอมรักกัน แม้จะใช้เวลานานเพียงไรก็ตาม ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะต้องเปลี่ยนคู่ผสมให้ใหม่ บางคู่ต้องใช้เวลานานถึง ๖-๗ เดือน จึงจะยอมรักกันก็มี แต่ก็มีบางคู่ที่ปล่อยลงในกรงผสมเพียง ๒-๓ วันก็รักกันแล้ว และบางครั้งในระยะแรกก็รักกันดี แต่พอระยะหลังกลับมาตีกันใหม่ก็มี นกเขาก็เหมือนคน บางครั้งเห็นหน้าครั้งแรกก็รักกันแบบรักแรกพบ บางครั้งก็ไม่ถูกชะตากัน ทำอย่างไร ๆ ก็ไม่รักกัน บางครั้งระยะแรกรักกันจนแต่งงานกัน แต่พออยู่ไปไม่นานเกิดเบื่อกันจนต้องหย่าร้างก็มี แต่สาเหตุการตีกันแบบหลังของนกเขา คือแบบที่ยอมอยู่รักกันครั้งแรกแล้วกลับมาตีกันตอนหลัง เกิดจากเหตุที่นกเขาเพศใดเพศหนึ่งทิ้งไข่หรือทิ้งลูก นกเขาฝ่ายที่รักไข่และรักลูกก็จะไล่ตีนกเขาฝ่ายที่ทิ้งไข่หรือทิ้งลูก ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ เจ้าของนกเขาจะต้องรีบจับนกเขาแยกจากกัน มิฉะนั้นอาจจิกตีกันจนตายได้ และบางครั้งนกเขาเพศผู้จะไล่จิกตีนกเขาเพศเมีย ถ้ามีนกเขาเพศผู้ตัวอื่นมาขันใกล้กรง หรือมีคนแปลกหน้ามายืนข้างกรง เพราะนกเขาเพศผู้กลัวว่าจะมีใครมาแย่งคู่ของตนไปนั่นเอง แต่ถ้าเป็นนกเขาเพศเมียที่เคยผ่านการผสมพันธุ์มาแล้วจะไม่มีปัญหา เพราะนกเขาเพศเมียมักจะไม่กลัวและนกเขาเพศผู้ก็ไม่กล้าทำร้าย หากเคยผสมพันธุ์มาหลายครั้งก็ไม่ดีเหมือนกัน เพราะเชื้อจะอ่อนและมักจะเป็นไข่ลมคือไข่ไม่มีเชื้อ ฟักไม่เป็นตัว หรือถ้าฟักเป็นตัวก็อาจเป็นลูกนกลักษณะไม่ดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยนิยมนำมาผสมพันธุ์กันบ่อยนัก และนกเขาที่กำลังครองแชมป์เสียงอยู่ คือ ยังส่งเข้าประกวดแข่งขันเสียงได้อยู่ ก็จะไม่นิยมนำมาผสมพันธุ์เช่นนี้ เนื่องจากจะทำให้กำลังขันเสียงตก และเสียงจะไม่ไพเราะเหมือนเดิมด้วย แต่ก็ไม่แน่นอนเสมอไป บางตัวผสมพันธุ์มาแล้ว ๒-๓ ชุด ก็ยังเอาขึ้นมาเล่นได้ โดยเสียงไม่ตกก็มี

อายุของนกเขาก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยในการผสมพันธุ์ เพื่อให้ได้ลูกนกพันธุ์ดี ขนาดที่เหมาะสม พ่อนกควรมีอายุระหว่าง ๑.๕-๘ ปี ซึ่งถือว่าเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุด หรือจะมากกว่านี้ก็ได้แต่ผลอาจไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนแม่นกควรมีอายุระหว่าง ๑-๖ ปี

กรงผสมพันธุ์ของนกเขาชวาควรจะมีขนาดกว้าง ๑.๕ เมตร ยาว ๒.๐ เมตร สูง ๑.๗๕ เมตร หรือจะให้กว้างยาวกว่านี้ก็ได้ และต้องตั้งบนเสาซึ่งโคนเสาควรจะหล่อปูนเป็นแอ่ง เพื่อใส่น้ำกันมิให้มดไต่ขึ้นไปบริเวณกรงผสมพันธุ์ ไปรบกวนนกเขาหรือทำอันตรายลูกนก ภายในกรงผสมพันธุ์ควรจะมีรังสำหรับวางไข่ ไว้ประมาณ ๒-๓ รัง สำหรับให้นกเขาเพศเมียวางไข่ ถ้าเห็นนกเขาเพศผู้นอนริม ๆ กรง และเห็นนกเขาเพศเมียนอนในรังตอนกลางคืน (เป็นแบบนี้ทุกคืน) ก็แสดงว่านกเขาเพศเมียกำลังจะออกไข่แล้ว ไข่นกเขาชวาจะใช้เวลาฟักประมาณ ๑๔-๑๕ วัน จึงจะออกเป็นลูกนก แต่ถ้าอากาศร้อน ๆ หรือฟักในฤดูร้อนอาจใช้เวลาฟักเพียง ๑๔ วัน ส่วนในฤดูหนาวต้องใช้เวลานานถึง ๑๕ วันเต็ม จึงจะออกเป็นลูกนก โดยปกติจะไม่เกิน ๑๖ วัน แต่ถ้าไข่ฟองใดฟักนานถึง ๑๘ วันแล้วก็ยังไม่ออกเป็นตัว ก็แสดงว่าเป็นไข่ลมไม่มีเชื้อ แต่ถ้าต้องการให้รู้แน่ชัดว่าเป็นไข่มีเชื้อหรือไม่ ก็อาจจะนำไข่ฟองนั้นไปส่องกับแสงแดดก็จะรู้ทันที ถ้าเป็นไข่ลมก็ไม่ต้องให้แม่นกกกไข่ฟักให้เสียเวลาควรเอาทิ้งเลย

การเลี้ยงนกเขาชวา 

           ลูกนกที่ออกจากไข่นานประมาณ ๑๒-๑๔ วัน จะเริ่มหัดบิน ครั้นเวลาล่วงมานานประมาณ ๒๐-๒๕ วัน แม่นกจะเริ่มออกไข่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในระยะนี้พ่อนกจะไล่จิกตีลูกนก โดยปกติประมาณ ๒๐ วัน หลังจากที่ลูกนกออกจากไข่ ควรจะแยกเอาลูกนกไปใส่กรงเล็กทันที เป็นการป้องกันพ่อนกที่จะจิกตีลูกนกจนตาย ในระยะแรกที่ลูกนกต้องจากอกพ่อนกแม่นก ลูกนกอาจกินอาหารเองไม่เป็น เจ้าของจะต้องเอาถั่วเขียวบดพอแหลกป้อนให้กิน จนกว่าลูกนกจะกินอาหารได้เองจึงค่อยนำลูกนกไปปล่อยในกรงใหญ่ เพื่อให้ลูกนกหัดบินออกกำลังสักประมาณ ๓-๖ เดือน แล้วจึงค่อยนำมาเลี้ยงในกรงเล็กใหม่ แต่ถ้านกเขาเพศเมียยังไม่ออกไข่ใหม่ เจ้าของก็อาจไม่ต้องแยกลูกนกจากพ่อแม่ก่อนก็ได้ เพียงแต่เจ้าของนกต้องคอยหมั่นเติมอาหารจำพวกเมล็ดดอกหญ้าเล็ก ๆ ข้าวฟ่าง และถั่วเขียวบดในถ้วยอาหารที่อยู่ในกรงเสมอ ๆ อย่าให้ขาด ในช่วงนี้พ่อนกก็มักจะเป็นผู้คอยป้อนอาหารให้ลูกนกเอง

          เมื่อลูกนกเริ่มโตขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนอาหารเป็นข้าวเปลือกเมล็ดสั้นและให้อาหารเสริม พวกดอกหญ้า ข้าวฟ่าง ข้าวเหนียวดำ ปัจจุบันบางคนก็ให้นกเขากินตั๊กแตนด้วย เป็นการเสริมธาตุนก ทำให้นกมีกำลังขัน แต่ก็ต้องระวังอย่าให้นกกินตั๊กแตนที่มีสีน้ำตาลดำ เพราะอาจทำให้นกเขาตายได้ ตั๊กแตนที่เสริมกำลังควรเป็นตั๊กแตนสีเขียวตัวอ่อนที่มีลักษณะป้อม ๆ โดยต้องเด็ดขาตั๊กแตนทิ้งให้หมด ให้เหลือแต่ลำตัวและปีกที่อ่อน ๆ เท่านั้น ให้กินครั้งละ ๓ ตัว เดือนหนึ่งให้กินประมาณ ๒ ครั้งก็พอ แต่นกเขาที่แข็งแรงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้ตั๊กแตนอีก และจะต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำให้สะอาดเสมอลืมไม่ได้

เมื่อลูกนกที่เป็นนกพันธุ์ดีมีอายุได้ประมาณ ๒-๓ เดือน จะเริ่มร้องและโกรก พอประมาณ ๔-๕เดือน เจ้าของนกก็เริ่มฟังเสียงนกออกว่าเป็นนกดีหรือไม่ ฝึกขึ้นรอกอีกประมาณ ๕-๖ เดือนก็นำไปแข่งขันได้ ซึ่งบางทีอาจเร็วกว่านี้หรือช้ากว่านี้ ทั้งนี้แล้วแต่พันธุ์ของนกเขาด้วย

          การเลี้ยงนกเขาไว้ในบ้านเพื่อประดับบ้าน หรือเลี้ยงไว้ฟังเสียงเพื่อความสุขใจ หรือจะเลี้ยงเพื่อเป็นการค้า จะเลี้ยงเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ควรจะเลี้ยงมากกว่า ๑ ตัวเสมอ เพราะนกเขาจะได้มีความสุข ไม่หงอยเหงา อย่างน้อยที่สุดควรเลี้ยง ๑ คู่ และควรเป็นคู่ต่างเพศจะได้เป็นเพื่อนคูขัน ประชันกันแก้เหงาได้ การเลี้ยงเป็นคู่ต่างเพศนั้น ดีในแง่ที่วันหน้ายังอาจใช้ผสมพันธุ์ขยายลูกหลานได้อีก โดยจะเลี้ยงไว้กรงละตัวหรือ ๒ ตัว รวมกันไว้ในกรงค่อนข้างใหญ่ก็ได้

          นักเล่นนกเขาทางภาคใต้ นิยมเลี้ยงนกเขาชวาแบบฝึกนกตลอดเวลา พยายามที่จะนำไปโยง ตากแดดตอนเช้าก่อนไปทำงาน เพื่อให้นกเขาได้ขันออกเสียงเต็มที่ในกลางหาวเหมือนนกที่อยู่ในป่า ยิ่งถ้าเป็นชาวบ้านก็แทบจะหิ้วกรงนกเขาติดตัวตลอดเวลา เวลาไปกรีดยางหรือทำสวนจะเอาแขวนไว้กับต้นไม้ใกล้ตัว ทำงานไปด้วยฟังเสียงนกเขาขันไปด้วย แม้แต่เวลาพักผ่อนจะเข้าร้านน้ำชากาแฟก็ยังหิ้วกรงนกเขาเข้าไปในร้านด้วย วิธีการเช่นนี้ช่วยให้นกเขาเชื่อง ไม่ตื่นกลัวคน และไม่ตกใจง่าย เวลาอยู่ในบ้านก็จะคอยดีดนิ้วร้องเรียกให้นกเขาขันคูช่วยให้นกเขาคุ้นกับคน

          การแขวนกรงนกเขาให้ถูกที่เป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ใช่จะแขวนได้ตามใจชอบ ที่ใดแขวนแล้วนกเขาไม่ชอบ นกเขาจะดิ้น ที่นกเขาดิ้นอาจจะเป็นเพราะกลัวอะไรสักอย่างหนึ่งก็ได้ สถานที่แขวนกรงจะต้องอยู่ห่างจากศัตรูนกเขา เช่น แมว หนู ตุ๊กแก แมลงสาบ ค้างคาวที่ชอบบินผ่านกรง แม้แต่สถานที่สีฉูดฉาดก็อาจทำให้นกเขาตื่นตกใจได้ ที่ใดที่แขวนแล้วนกเขาขันบ่อย ๆ ก็ควรจะแขวนไว้ที่ตรงนั้นเป็นประจำ หลังจากที่ให้นกเขาตากแดดหรือโยงเรียบร้อยแล้ว การแขวนประจำที่ในที่ที่นกเขาชอบจะช่วยให้นกเขาอาดเร็ว เพราะชินต่อสถานที่ นกเขาจะหมดกังวลกับสิ่งที่หวาดกลัว และถ้ามีสถานที่กว้างขวางพอก็ควรจะแขวนกรงนกเขาให้มีระยะห่างกันพอสมควร ถ้าห่างกันขนาดนกเขามองกันไม่เห็นได้ก็ยิ่งดี เพราะนกเขาจะได้ตะเบ็งเสียงดังเต็มที่ เป็นการขันโดยไม่ออมเสียง ทำให้คนฟังได้รู้เสียงขันที่แท้จริงของนกเขานั้น

ความจริงแล้วสถานที่ที่ดีที่สุด คือชายคาบ้าน หรือสถานที่ใกล้หน้าต่าง เพราะนกเขาจะได้มองเห็นท้องฟ้า เห็นทิวทัศน์ธรรมชาติ และตัวอาคารของบ้านด้วย ช่วยให้นกเขาเกิดความเคยชินกับบ้าน นกเขาก็จะอาดเร็ว สิ่งที่เจ้าของนกเขาพึงปฏิบัติต่อนกเขาเป็นประจำทุกวัน ได้แก่

๑. นำนกเขาในกรงชักขึ้นรอกบนยอดเสาทุกเช้า เพื่อให้นกเขาได้ผึ่งแดดจากแสงแดดอ่อน ๆ ตอนเช้า อย่างน้อยประมาณ ๒๐-๓๐ นาที
๒. หลังจากผึ่งแดดแล้วต้องนำนกเขามาพ่นน้ำ โดยผู้เลี้ยงต้องอมน้ำสะอาดให้เต็มปากแล้วพ่นให้ถูกตัวนกเขาที่อยู่ในกรง ต้องพยายามให้ถูกทั่วตัวนกด้วย ถ้าเป็นนกเขาที่คุ้นกับคนเลี้ยงนกเขา มักจะยืนพ่นน้ำตามสบาย แต่ถ้าเป็นนกเขาใหม่ที่ยังไม่คุ้นกับคนก็ควรจะจับออกมานอกกรงแล้วพ่นน้ำให้ทั่วตัว รวมทั้งใต้ปีกนกเขาด้วย ต้องจับปีกเปิดขึ้นแล้วพ่นน้ำให้เปียกทั่ว ๆ แต่อย่าพ่นใส่แบบเดียวกับที่พ่นนกเขา ในกรงที่คุ้นกับคน เพราะนกใหม่จะตกใจแล้วบินหนีไปปะทะกับกรง ทำให้นกเจ็บตัวได้ จากนั้นจึงปล่อยให้นกที่พ่นน้ำแล้วผึ่งแดดอ่อน ๆ ต่อไปอีกสักพักหนึ่งจึงจะนำไปแขวนไว้ในที่ที่เคยแขวน
นกเขาบางตัวที่เลี้ยงมานานจนเชื่อง อาจนำมาอาบน้ำบ้างก็ได้ เพราะการอาบน้ำให้นกเขาก่อนนำมาตากแดดดีกว่าการพ่นน้ำ เพราะนกเขาจะอาดเร็ว ถ้าทำได้ควรจะอาบเดือนละครั้งเสมอแต่ไม่ควรอาบน้ำบ่อยนัก เพราะถ้าบ่อยเกินไปก็ไม่ดี เวลาอาบน้ำหรือพ่นน้ำให้นกเขา ควรจะเปลี่ยนใส่กรงใหม่และกรงใหม่นั้นไม่ต้องมีแผ่นผ้ากลมรองอยู่ใต้ก้นกรงสำหรับรองมูลนก ไม่ต้องมีภาชนะใส่อาหาร มีแต่คอนสำหรับให้นกเขาเกาะก็พอแล้ว ทั้งนี้ เพื่อจะได้มีโอกาสนำกรงเก่ามาทำความสะอาด ในช่วงจังหวะที่นกเขากำลังผึ่งแดดอยู่ในกรงสำหรับพ่นน้ำ
เวลาทำความสะอาดกรงนกเก่า จะต้องเช็ดล้างคอนให้สะอาดและเช็ดพื้นกรงให้สะอาดด้วย โดยเทมูลนกในแผ่นกลมใต้กรงทิ้งให้หมด
๓. ต้องตรวจตราดูอาหารในถ้วยน้ำทั้ง ๔ ใบ ว่ามีอาหารครบดีอยู่หรือไม่ ถ้าขาดจะต้องเติมให้เต็มไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นถ้วยข้าวเปลือกเมล็ดสั้น ทรายทะเล อาหารเสริม และน้ำ คอยสังเกตว่าอาหารในถ้วยใดพร่อง ต้องคอยเติมให้เต็ม โดยเฉพาะน้ำต้องเปลี่ยนทุกวัน

อาหารที่จำเป็นสำหรับใช้เลี้ยงนกเขาชวา 

เนื่องจากนกเขาชวาเดิมอยู่ในป่า อาหารที่นกเขาชวาชอบกินมักจะเป็นเมล็ดข้าวเปลือกในนา ดอกหญ้า ดิน ทราย ฯลฯ เมื่อคนนำนกเขาชวามาเลี้ยง จึงจำเป็นต้องหาอาหารให้คล้ายกับอาหารที่นกเขาเคยกิน

อาหารนกเขาชวาที่จำเป็น ได้แก่

ข้าวเปลือกเมล็ดสั้น ไม่นิยมเลี้ยงนกเขาชวาด้วยข้าวเปลือกเมล็ดยาวแบบข้าวเปลือกที่ใช้เลี้ยงไก่ ทั้งนี้เพราะถ้าเมล็ดยาวอาจจะทำให้ข้าวเปลือกติดคอ เพราะนกเขาคอเล็กกว่าไก่ อาจทำให้นกเขาชวาตายได้ แต่ทั้งนี้ก่อนจะให้เป็นอาหารของนกเขาชวา จะต้องเอาข้าวเปลือกเมล็ดสั้นนั้นมาล้างน้ำเพื่อให้ฝุ่นละอองที่ติดตามเมล็ดข้าวเปลือกออกให้หมดก่อน แล้วจึงนำไปตากแดดให้แห้งสนิท
ข้าวฟ่าง ข้าวฟ่างที่ใช้เลี้ยงนกเขาชวามี ๓ สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีดำ
ข้าวสมุทรโคดม เป็นข้าวที่มีลักษณะเป็นเมล็ดกลมขนาดเมล็ดถั่วเขียวสีขาว ๆ
ดอกหญ้าปากควาย ปกตินกเขาชวาชอบกินดอกหญ้าปากควายมาก แต่ไม่ควรให้มากเกินไป เพราะจะทำให้นกผอมและเสียงแห้ง
เมล็ดผักเสี้ยน ช่วยเป็นยาระบายอ่อน ๆ ของนกเขาชวา
ลูกเซ่ง เป็นหญ้าชนิดหนึ่งขึ้นปะปนกับต้นข้าวในนา
งาดำ งาดำเปลือกเป็นยา ดีกว่างาขาว
ถั่วเขียว ก่อนให้เป็นอาหารนกเขาชวา ควรตำสักเล็กน้อย พอให้แหลก แต่อย่าละเอียดนัก (ถั่วเขียว จำเป็นต้องให้แก่นกที่กำลังผสมพันธุ์อย่างมาก เพื่อช่วยบำรุงร่างกาย)
ทราย ช่วยบำรุงกระดูกของนกเขาชวา และช่วยย่อยอาหารโดยเฉพาะทรายทะเลมีแคลเซียม และเปลือกหอยป่น จะช่วยบำรุงกำลังให้นก ทรายทะเลสำคัญมาก อย่าให้ขาด
ดินลูกรัง นกเขาชวาชอบกินดินลูกรังที่ได้จากภูเขา
ดินดำ เป็นดินปลวกดำ นกชอบ
น้ำสะอาด ต้องมีไว้อย่าให้ขาด
ข้าวไร่ นกเขาชอบกินแต่ไม่ควรให้บ่อย เพราะจะทำให้นกน้ำหนักเบาและขันเสียงตก
ทรายวิตามิน ความจริงมีประโยชน์ แต่นกเขาไม่ค่อยชอบกิน

อาหารทุกอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด ยกเว้นข้าวเปลือก น้ำสะอาดและทรายวิตามิน ก่อนจะให้เป็นอาหารนกจะต้องนำมาคลุกเคล้าผสมกัน ซึ่งในปัจจุบันอาจมีไม่ครบทุกอย่าง แต่ก็มีผู้ผสมอาหารสำเร็จรูปสำหรับเลี้ยงนกเขาชวาโดยเฉพาะขาย ซึ่งจะหาซื้อได้ทั่วไป หรือจะซื้อแต่ละชนิดมาผสมเองก็ได้

ดังนั้นจะเห็นว่า ในกรงแต่ละกรงจะมีถ้วยสำหรับใส่น้ำ ๑ ใบ ใส่ข้าวเปลือก ๑ ใบ ใส่ทราย ๑ ใบ และใส่อาหารผสมอีก ๑ ใบ รวมเป็นถ้วยที่อยู่ในกรงนกทั้งหมด ๔ ใบ ขนาดของถ้วยที่ใส่น้ำกับใส่ข้าวเปลือกมีขนาดเท่ากัน และจะใหญ่กว่าถ้วยที่ใส่ทรายกับใส่อาหารผสม โดยถ้วยที่ใส่ทรายกับใส่อาหารผสมก็มักจะมีขนาดเท่ากันด้วยเพื่อความสวยงาม ซึ่งอาจเปลี่ยนจากแก้วใสเป็นถ้วยที่มีสีสันลวดลายแบบกระเบื้องเคลือบ หรือเป็นรูปถ้วยพลาสติกก็ได้ ตามความพอใจของเจ้าของนกเขาชวา

โรคและยารักษานกเขาชวา 

โรคท้องเสีย นกเขาชวามักจะเป็นโรคท้องเสีย สังเกตได้เมื่อเห็นว่านกเขาถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมูลค่อนข้างเหลวและถ่ายบ่อย ๆ เมื่อนกเขามีอาการเช่นนี้ แสดงว่านกเขากำลังมีธาตุไม่ดีหรืออาจสังเกตได้ที่ก้นนกเขา ถ้าขนบริเวณก้นนกเขามีมูลดำเปื้อนเปรอะติดกรัง ก็แสดงว่านกเขากำลังเป็นโรคท้องเสีย

ยาที่ใช้รักษา เมื่อนกเขาชวาเป็นโรคท้องเสีย ให้ใช้น้ำจากต้นตะไคร้สดตัดเป็นท่อนเล็ก ๆ แล้วทุบให้ช้ำ ๆ หรือหั่นบาง ๆ ใส่ลงในถ้วยน้ำในกรงนกเขา ให้นกเขากินโดยต้องเปลี่ยนน้ำและตะไคร้บ่อย ๆ แล้วคอยสังเกตอาการถ่ายของนกเขา ซึ่งจะพบว่ามูลนกจะค่อย ๆ เริ่มแข็งขึ้นหรือไม่ ถ้าเห็นว่าเริ่มเป็นปกติจนถึงระยะที่ปกติก็ต้องหยุดและให้น้ำธรรมดาแทน
ถ้าไม่ใช้น้ำตะไคร้ อาจจะใช้เปลือกมังคุดตากแห้งชิ้นเล็ก ๆ ฝนกับน้ำปูนใส ๒ ช้อนโต๊ะ จนน้ำ ค่อนข้างข้น แล้วตักเพียง ๑ ช้อนกาแฟมากรอกใส่ปากนกเขา สังเกตดูหลังจากกินยาแล้วประมาณ ๓ ชั่วโมง อาการดีขึ้นหรือไม่ ถ้ายังท้องเสียอยู่ก็ต้องให้ยาอีกครั้ง แล้วจึงให้อาหารตามปกติ หลังจากให้ยาครั้งหลังประมาณ ๓ ชั่วโมง นกเขาก็จะมีอาการดีขึ้นตามลำดับ
โรคกระออบน้ำ โรคนี้เกิดจากการลืมให้น้ำนกเขาชวาเกินกว่า ๑ วัน ถ้านกเขาเป็นโรคนี้ อย่ารีบร้อนเทน้ำใส่ในถ้วยน้ำมาก ๆ เพราะนกเขาจะกินน้ำมากจนจุกแล้วจะยิ่งกระออบน้ำมากขึ้น (และบางครั้งนกเขาอาจสำลักน้ำจนตายได้) ดังนั้นจึงควรเทให้นกเขากินเพียง ๒-๓ หยดก่อน
ยาที่ใช้รักษา ให้ใช้ใบชุมเห็ดสด ๆ ๑ ใบ ขยี้กับน้ำปูนใส (ปูนกินหมาก) แล้วนำมากรองให้สะอาดใส่แทนน้ำธรรมดาให้กิน ประมาณ ๒-๓ วัน นกเขาชวาก็จะหายจากโรคกระออบน้ำ
โรคเหงาหงอย เวลานกเขามีอาการไม่ค่อยขันตามปกติยืนนิ่งและซึมเป็นเวลาค่อนข้างนาน แสดงว่านกเขาเป็นโรคเหงาหงอย
ยาที่ใช้รักษา ให้เอาพริกขี้หนูสดตำให้ละเอียดแล้วเอาข้าวสารมาคลุก ควรใช้ปลายข้าว เพราะเมล็ดเล็กและสั้น แล้วจึงนำมาตากแดดให้หมาด ๆ แล้วเอามาคลุกไข่แดง เพื่อให้ไข่แดงช่วยเคลือบความเผ็ดร้อนของพริก แล้วนำไปตากแดดอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นเก็บไว้ในขวด อย่าให้ชื้นแล้วจึงป้อนนกเขาทุกเช้า ครั้งละ ๓-๕ เมล็ด จนครบ ๗ วัน จากนั้นจึงป้อน ๓ หรือ ๗ วันต่อครั้ง เมื่อนกเขาเริ่มขยันขัน นั่นคือ นกเขาหายหงอยเหงา จึงค่อยป้อนให้ ๑๕ วันต่อครั้ง
โรคหวัดธรรมดา ถ้านกเขาชวามีอาการสะบัดหัวบ่อย ๆ และมีน้ำเปียกบริเวณจมูก จะต้องคอยระวังอย่าให้นกเขาถูกความเย็นมากเกินไป หรืออย่าให้นกเขาถูกลมโกรกมาก เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้นกเขาเป็นหวัดได้ง่าย เมื่อนกเขาเป็นหวัดอย่าปล่อยทิ้งไว้ แม้จะเป็นหวัดธรรมดาที่ไม่ร้ายแรงก็ตาม ก็ต้องรีบรักษา มิฉะนั้นก็เป็นบ่อเกิดของโรคปอดบวม อันอาจจะทำให้นกเขาตายได้
ยาที่ใช้รักษา ให้เอาหัวหอมไทยหัวใหญ่ ๆ ปอกเปลือกทุบทั้งหัวพอให้แตก อย่าให้ละเอียดนัก แล้วเอาผ้าขาวบางห่อหัวหอมนั้น แล้วนำไปแขวนไว้ในกรงให้ติดกับซี่กรงในระดับเดียวกับจมูกนก ขณะที่นกเขาเกาะที่คอน โดยต้องเปลี่ยนหัวหอมทุบใหม่ ๆ ทุก ๒-๓ วัน หรือจะใช้สำลีชุบยูคาลิปตัสห่อผ้าขาวบาง แขวนไว้แบบเดียวกันก็ได้ แต่บางทีนกเขาก็ไม่ชอบกลิ่นยูคาลิปตัส จึงต้องคอยสังเกตให้ดีด้วย แต่ปรากฏว่าปัจจุบันมักจะใช้ยาที่หาซื้อได้ง่ายแบบยูคาลิปตัสมากกว่า
โรคตาเจ็บ ถ้านกเขาชวามีตาข้างหนึ่งหรือทั้ง ๒ ข้างแฉะ มีน้ำเยิ้ม และมีขี้ตารอบ ๆ ดวงตา ยิ่งมีขี้ตามาก ก็แสดงว่านกเขาเป็นโรคตาเจ็บมาก
ยาที่ใช้รักษา ให้ใช้เถาตำลึงขนาดนิ้วก้อยที่ตัดมาใหม่ ๆ ๒ ท่อน ยาวประมาณท่อนละ ๕-๖ นิ้ว แล้วเป่าเถาตำลึงนั้นให้น้ำในเถาตำลึงออกมาเป็นฟองเข้าในตาของนกเขา โดยต้องจ่อปลายเถาตำลึงให้อยู่ใกล้ตาของนกเขามากที่สุด แต่อย่าให้ถูกตานกเขาเถาตำลึง ๒ ท่อนใช้สำหรับตา ๒ ข้าง โดยต้องเป่าเถาตำลึงแต่ละท่อนเรื่อยไปจนกว่าน้ำในเถาจะหมด แต่ต้องระวังอย่าให้น้ำถูกหัวนกเขาจนเปียก แม้ตาจะเจ็บเพียงข้างเดียวก็ตาม ก็ต้องเป่าที่ตาทั้ง ๒ ข้าง เป็นการป้องกันไว้ก่อน หรือจะใช้ยาหยอดสำหรับนกเขาโดยเฉพาะก็ได้ ซึ่งปกติทางภาคใต้จะนิยมรักษาโรคตานกเขาชวาด้วยเถาตำลึง
โรคตาเป็นฝี นกเขาที่มีอาการบวมเป็นเม็ดคล้ายสิวที่ขอบตาและมีหัวอย่างฝี มีสีขาวเรื่อเหลือง และข้างที่เป็นฝีจะหรี่เล็กลงแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น มีน้ำเยิ้ม แสดงว่านกเขาขวาเป็นฝีที่ตา
ยาที่ใช้รักษา ให้ใช้ใบเสือหมอบอ่อน ๆ ๓-๔ ใบ ใส่ในฝ่ามือทั้ง ๒ ข้าง แล้วขยี้ให้ละเอียด ใส่ปูนแดงขนาดนิ้วหัวแม่มือ ขยี้ผสมกันจนในเสือหมอบกับปูนกลายเป็นฟอง จากนั้นใช้นิ้วมือปาดฟองไปป้ายที่หัวฝี บริเวณขอบตานอก แต่อย่าให้ฟองนั้นเข้าตานก ทำแบบนี้เพียงครั้งเดียวก็พอ นกเขาก็จะมีอาการดีขึ้นตามลำดับ หรือจะใช้ยาที่ซื้อจากสัตวแพทย์ก็ได้
.  โรคท้องผูก บางครั้งนกเขาชวาอาจเป็นโรคท้องผูกได้ เช่นเดียวกับเป็นโรคท้องเดิน สังเกตได้เมื่อนกเขาถ่ายมูลเป็นก้อนแข็ง และกินอาหารน้อยลง มีอาการซึมในตอนเย็น ๆ แสดงว่านกเขากำลังเป็นโรคท้องผูก
ยาที่ใช้รักษา ให้ใช้ดีเกลือผสมน้ำให้มีรสอ่อน ๆ กรอกปากนกเขาประมาณ ๒ ช้อนชา หรือจะใช้น้ำมะนาว ๑ ผลกรองให้สะอาดกรอกปากนกเขาแล้วใส่น้ำสะอาดด้วย ครั้งละ ๒ ช้อนชาทุก ๓ ชั่วโมง จนกว่านกเขาจะมีอาการดีขึ้นหรือไม่ก็ใช้พริกขี้หนูเม็ดเล็ก ๆ แช่น้ำปลาอย่างดี ๑ คืน ป้อนให้นกกินครั้งละ ๔-๕ เมล็ด หรือไม่ก็ใช้ต้นปลาหมอที่ยังสดแช่น้ำปลาอย่างดี ๑ คืน ป้อนให้กิน ๒-๕ ต้น
โรคพยาธิ สังเกตนกเขาที่มีอาการเป็นโรคพยาธิได้เมื่อนกเขาถ่ายมูลออกมา โดยมีตัวพยาธิออกมาด้วยไม่มากก็น้อย กินอาหารจุแต่กลับผอมลง มีอาการเซื่องซึม ถ้าปล่อยให้เป็นจนเรื้อรังโดยไม่รีบรักษา นกเขาจะตายในที่สุด

ยาที่ใช้รักษา ให้นำใบกำเม็งสดมาตำให้ยุ่ยละเอียด แล้วเอามาคลุกกับกะปิอย่าให้มากนัก พอมีรสเค็มก็พอ ปั้นเป็นเม็ดยาว ๆ ขนาดเม็ดพริกขี้หนู ป้อนให้นกกินประมาณ ๒-๓ เม็ด ตามอายุอ่อนแก่ของนก หรือจะใช้ดีเกลือผสมน้ำรสอ่อน ๆ กรอกปากนกประมาณ ๒ ช้อนชา วันละ ๓ ครั้ง จนกว่านกจะถ่ายมูลออกมาพร้อมกับพยาธิ ทำเช่นนี้วันรุ่งขึ้นนกเขาก็จะถ่ายมูลออกมาพร้อมกับพยาธิ จากนั้นต้องหยุดยาอีก ๑๐ วัน หลัง ๑๐ วันแล้วจึงให้ยาเพื่อถ่ายพยาธิอีก ทำเช่นนี้จนกว่าจะแน่ใจว่ากำจัดพยาธิได้หมดแล้ว จึงหยุดให้ยา

กรงนกเขาชวา 

          กรงเลี้ยงนกเขาชวามีหลายรูปทรง มีทั้งขนาดเล็กและขนาดมาตรฐาน ขนาดเล็กก้นกรงมักมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๒ นิ้ว เหมาะสำหรับใช้เลี้ยงนกเขาชวาที่เพิ่งได้มาใหม่ ๆ เนื่องจากนกเขาชวาที่ได้มาใหม่ ๆ ยังไม่คุ้นกับสถานที่ จึงมักชอบดิ้น เมื่อดิ้นในกรงขนาดค่อนข้างเล็ก นกเขาก็จะเจ็บตัว ถ้ายิ่งดิ้นมากก็จะเจ็บตัวมาก นกเขาจึงไม่กล้าดิ้นมากนัก ส่วนกรงนกเขาชวาขนาดมาตรฐานที่นิยมในปัจจุบัน ก้นกรงจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๔ นิ้ว สูงประมาณ ๑๖-๑๘ นิ้ว ซี่กรงไม่ควรห่างมาก กรงซี่เล็กจะดีกว่ากรงซี่ใหญ่ เพราะกรงซี่เล็กยืดหยุ่นในตัว เวลานกเขาดิ้นก็มักจะไม่เจ็บตัวมาก ปกติกรงนกเขาทางภาคใต้ ทุกกรงมักมีซี่กรงเล็กและค่อนข้างถี่ ซึ่งเป็นข้อดีในกรณีที่เกิดเหตุ มีอันทำให้ซี่กรงหักไปซี่หนึ่งนกเขาก็บินหนีออกมาไม่ได้ เหมาะสำหรับใช้เลี้ยงนกเขาที่ซื้อมาในราคาแพง ๆ เพราะปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลว่านกเขาจะหนีออกจากกรงไป
ประตูเปิดปิดกรงนกเขาทั่ว ๆ ไปมีอยู่ ๒ แบบคือ แบบมีประตูเปิดปิดข้างกรง กับแบบมีประตูเปิดปิดที่ก้นกรง แต่ส่วนใหญ่จะนิยมกรงที่มีประตูเปิดปิดที่ก้นกรงมากกว่า เพราะไม่ทำให้กรงเสียรูปทรง ทั้งยังมีความปลอดภัยในเวลาเปิดปิดประตูกรง โอกาสที่นกเขาจะบินหนีออกทางประตูก้นกรงจะทำได้ยากกว่า แม้นว่าผู้เลี้ยงนกเขาจะลำบากในการเปิดปิดประตูที่ก้นกรงมากกว่าประตูที่ข้างกรงก็ตาม ผู้เลี้ยงนกเขาทั่วไปก็ยินดีจะลำบากแบบนี้มากกว่า เนื่องจากกลัวนกเขาหนีจะมีมากกว่ากลัวเหนื่อยหรือลำบาก และจากสถิติที่ผ่านมา นกเขาชวามักจะหลุดหรือบินหนีออกทางประตูข้างกรงมากกว่าประตูก้นกรง

กรงนกเขาจะมีหัวกรง ขอเกี่ยวแขวนกรง คอนสำหรับให้นกเขาเกาะ ภาชนะสำหรับใส่อาหารนก ผ้ารองมูลนก ผ้าคลุมกรงนก ลูกตุ้มแก้วสีต่าง ๆ ที่ใช้ห้อยชายผ้าคลุมกรง เป็นส่วนประกอบของกรง หัวกรงนกเขาอาจทำด้วยแก่นไม้ธรรมดาหรืองาช้างก็ได้กลึงให้มีรูปสวยงาม ขอเกี่ยวบนหัวกรงนกเขา อาจทำด้วยเหล็กธรรมดาหรือทำด้วยทองเหลืองเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น รูปวัว รูปนก ส่วนใหญ่นิยมทำเป็นรูปตัวมังกร บางทีก็ทำเป็นตัวอิเหนาของชวา ขอเกี่ยวบนหัวกรงนกใช้สำหรับแขวนกรงนกเขา ซึ่งจะต้องแข็งแรงทนทานมิฉะนั้นอาจหลุดง่ายทำให้กรงหล่นกระแทก การหล่นกระแทกแบบนี้จะทำให้นกตกใจ จนทำให้นกเขาไม่ยอมขัน ถ้าหล่นจากเสารอกนกที่มีความสูงมาก ๆ นกเขาอาจตายได้ ดังนั้นจึงควรระวังดูแลขอเกี่ยวแขวนกรงนกให้ดีด้วย

คอนสำหรับให้นกเขาเกาะ ควรมีขนาดประมาณ ๕-๖ หุน อาจทำด้วยแก่นไม้ธรรมดา หรือทำด้วยไม้สลักลวดลายเป็นรูปต่าง ๆ บ้างก็ใช้งาช้างแกะสลักทำเป็นคอน ขนาดไม่ควรใหญ่มากนัก เพราะถ้าใหญ่มากนกเขาจะจับได้ไม่มั่น แต่ถ้ามีขนาดเล็กเกินไปนกเขาก็จะจับได้ไม่แน่น คอนที่เหมาะควรมีความสูงประมาณ ๒.๕-๓.๐ นิ้ว ต้องอย่าให้สูงจนนกเขาโงนและอย่าให้ต่ำจนนกเขาหางถึงพื้น

ภาชนะสำหรับใส่อาหารนกเขาควรมีประมาณ ๔ ใบ สำหรับใส่ข้าวเปลือก ใส่ทรายทะเล ใส่อาหารเสริมพวกดอกหญ้าปากควาย ข้าวฟ่าง งาดำ ถั่วเขียว เมล็ดผักเสี้ยน ดอกเซ่ง เมล็ดสบู่หรือดินดำผสม ตามตำรา และถ้วยสำหรับใส่น้ำ ภาชนะทั้ง ๔ ใบ จะต้องมีลวดคร่อมปากถ้วยไว้ด้วย เพื่อป้องกันมิให้ถ้วยที่ใส่อาหารล้มหรือตะแคง เพราะอาจทำให้อาหารหรือน้ำหกออกมาข้างนอก ผ้ารองมูลนกเขาและเศษอาหาร ทำเป็นรูปวงกลมห้อยไว้ภายนอกใต้กรง ผ้านั้นประกอบด้วยขอบลวดเป็นวงกลมขนาดเท่ากับก้นกรง

ผ้าคลุมกรงนก มี ๒ แบบ คือ แบบคลุมกรงมี ๔ ชาย กับแบบคลุมหุ้มห่ออย่างมิดชิด ผ้าคลุมกรงนก ๔ ชาย ใช้คลุมอย่างถาวรคู่กับกรงนกตลอดเวลา เพื่อเป็นเครื่องช่วยกันมิให้นกเขาหวาดกลัว และช่วยบังร่มจากแสงแดด นกเขาจะได้ไม่ถูกแดดมากเกินต้องการ ผ้าคลุมกรง ๔ ชายนี้ นิยมหาผ้าสวย ๆ โดยเฉพาะผ้าแพรลายดอกที่มีสีสวยสดมาทำ ในสมัยก่อนเจ้านายบางพระองค์ถึงกับเอาลูกปัดสีต่าง ๆ มาร้อยปักบนผ้าคลุมกรงนก ๔ ชาย ให้เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เพื่อให้มีสีสันและแสงสะท้อนแวววาวสวยงามยิ่งขึ้น ส่วนผ้าคลุมกรงนกแบบมิดชิดนั้น ใช้คลุมเวลาจะเคลื่อนย้ายนกเขาชวาจากบ้านไปสนามแข่งขัน หรือใช้เคลื่อนย้ายนกเขาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เพื่อมิให้นกเขาตกใจ นิยมทำด้วยผ้าสีสดสวยงามเช่นกัน

ลูกตุ้มแก้วสีต่าง ๆ ใช้สำหรับห้อยที่ชายผ้าทั้ง ๔ ชาย เพื่อให้ดูสวยงาม เน้นเครื่องประดับกรงและยังมีประโยชน์ในแง่ของแสงสะท้อนจากลูกแก้วทำให้เหยี่ยวนกเขาไม่กล้าเข้าใกล้ เป็นการไล่เหยี่ยวนกเขาที่มาจิกกินนกเขาด้วย กรงนกเขาทางภาคใต้ทุกใบนิยมห้อยลูกแก้วไว้ที่ชายผ้าทั้ง ๔

กรงนกเขาทางภาคใต้ที่นิยมมี ๓ แบบ คือ

๑. กรงราคาถูก ๆ สำหรับใช้เลี้ยงลูกนกเท่านั้น รูปแบบกรงไม่ใช่แบบของภาคใต้ เป็นของภาคกลางส่งมาขาย
๒. กรงธรรมดาใช้ใส่นกเขาที่โตขนาดอายุประมาณ ๕ เดือน
๓. กรงแกะดอก ใช้ใส่นกเขาราคาแพง หรือเป็นนกเสียงดีที่เคยชนะการประกวดมาแล้ว หรืออาจใส่นกเขาธรรมดาที่เจ้าของต้องการอวดกรงแกะดอกก็ได้ กรงแกะดอกเหมือนกรงธรรมดาทั่ว ๆ ไป ทั้งขนาดและรูปทรง ต่างกันตรงที่กรงแกะดอกจะสวยงามมากกว่ากรงธรรมดาทั่ว ๆ ไป เพราะกรงแกะดอกจะเหลาซี่กรงโดยแกะเป็นรูปดอกไม้ชนิดต่าง ๆ ไว้ด้วย แทนที่จะเป็นซี่ตรง ๆ ธรรมดา ราคากรงแกะดอกจะแพงกว่ากรงธรรมดาทั่วไปประมาณ ๔-๕ เท่า ซึ่งราคากรงก็จะขึ้นอยู่ที่ฝีมือช่างทำกรงแต่ละคน ประณีตมากก็แพงมากเป็นธรรมดา คำว่าแกะดอกเป็นคำเรียกทางภาคใต้ ส่วนภาคกลางจะเรียกว่ากรงยกดอก

การดูลักษณะเพศนกเขาชวา

นักเล่นนกเขามีความจำเป็นต้องดูลักษณะเพศนกออกว่า นกตัวใดเป็นเพศใด เพราะนกเขาทั้ง ๒ เพศมีราคาต่างกัน และความนิยมเสียงขันก็ต่างกันด้วย

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า วงการนกเขานิยมเลี้ยงและเล่นนกเขาเพศผู้ไว้ฟังเสียงมากกว่าเพศเมีย ทั้งนี้เพราะนกเขาเพศผู้เลี้ยงได้เชื่องเร็วกว่า เสียงขันก็ทนกว่าและเสียงก็ดังไพเราะกว่า เวลารอกนกขึ้นเสาก็สู้รบนกดีกว่านกเขาเพศเมีย ด้วยเหตุนี้การดูเพศนกได้จึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะเวลาซื้อขายนกราคาต่างกันมาก ราคานกเขาเพศผู้แพงกว่าเพศเมียมาก

นกเขาเพศผู้มีลักษณะสังเกตได้ดังนี้

๑. มีหัวใหญ่ค่อนข้างยาว มีหมอนหน้าผากสีขาวมาก ยาวถึงกลางหัว และหมอนขาวใต้คาง ก็มีสีขาวเป็นทางยาวต่ำ
๒. หลังและหน้าอกใหญ่ หางไม่ยก
๓. ตะเกียบ (กระดูเชิงกราน) ชิดกัน ตะเกียบดังกล่าวอยู่ใต้ท้องใกล้ทวารของนก ลองเอานิ้วมือแตะดูจะพบว่ามีกระดูกอยู่ ๑ คู่ ตะเกียบนั้นชิดและแข็ง
๔. นิ้ว ข้อ และเกล็ดใหญ่ รวมทั้งตุ้มนิ้วก้อยโตเห็นชัด และลายฝ่าเท้าที่เป็นเม็ด ๆ จะเป็นเม็ดโตเห็นชัด เส้นข้อลึกกว่านกเขาเพศเมีย

นกเขาชวาเพศเมียมีลักษณะตรงข้ามกับนกเขาเพศผู้ ดังนี้

๑. หัวกลมเล็ก หมอนหน้าผากสีขาวนวลสั้นมาก
๒. หลังแอ่นหางยก โดยเฉพาะเวลาที่ถูกนกเขาเพศผู้เหยียบบนหลัง นกเขาเพศเมียจะยกหางขึ้นรับทันที
๓. ตะเกียบห่างและอ่อน
๔. นิ้วเรียวเล็ก ตุ้มนิ้วก้อยหลังไม่โต เนื้อเรียบเสมอกันตลอดและลายฝ่าเท้าที่เป็นเม็ด ๆ เล็กละเอียด

คำที่ใช้เรียกเสียงของนกเขาชวา

คำที่ใช้เรียกเสียงของนกเขาชวา เป็นภาษาที่นักเล่นนกเขาชวาใช้กันในวงการเล่นนกเขา เมื่อเอ่ยคำใดขึ้นมา นักเล่นนกเขาจะรู้ทันทีว่าหมายถึงอะไร ภาษาเหล่านี้เป็นคำศัพท์ ซึ่งบางคำเป็นคำภาษามลายูท้องถิ่น แต่ผู้ที่เล่นนกเขาทุกคนก็เข้าใจ ดังนี้

ต้น เป็นคำเรียกลักษณะเสียงขันของนกเขาชวา เมื่อนกเขาชวาขันเสียงคำขึ้นต้นที่ลากยาว โดยออกเสียง “ว้าว..” หรือ “กู้...” หรือ “โก้...” ยาว ๆ คำว่า “ว้าว” หรือ “กู้” หรือ “โก้” เป็นคำต้นหรือเป็นคำแรกที่นกเขาขัน
กลาง เป็นคำเรียกลักษณะเสียงขันของนกเขาชวา เป็นช่วงจังหวะขันระหว่างคำต้นกับคำท้ายของเสียงนกเขา คำกลางจะดูที่ความห่างหรือเว้นยาวกับความถี่ของเสียง โดยถือว่านกเขาชวาตัวใดที่ขันเสียง คำกลางที่มีช่วงจังหวะเว้นยาวหรือห่างเป็นคำกลางที่ดี ส่วนคำกลางที่ถี่หรือชิดถือว่าไม่ดี บางครั้งก็เรียกคำกลางว่า “จังหวะ” หรือ “ทางขัน” เช่น เสียงคำกลาง “ว้าว... ละตะ โกง” คำ ละตะ” เป็นคำกลางที่มีช่วงจังหวะคำกลางห่างหรือเว้นยาวซึ่งถือว่าดี ส่วน “ว้าว...ตะ โกง” คำ ตะ” เป็นคำกลางที่ไม่ดี
ปลาย เป็นคำเรียกลักษณะเสียงขันของนกเขาชวาที่เป็นคำลงท้าย ถ้าคำลงท้ายดังกังวานยาวนานมาก จัดว่าเป็นปลายที่ดีมาก แต่ถ้าคำปลายหรือคำลงท้ายไม่มีกังวาน ก็จัดว่าเป็นนกเขาที่เสียงยังไม่มีปลาย หรือเสียงไม่ออกปลาย เสียงคำลงท้ายหรือคำปลายของนกเขาชวาจะออกเสียง “...โกง” “...โปง” หรือ “...โวง” ซึ่งเสียงปลายนี้จะกังวานหรือดังยาวนานตามคุณภาพของนก นกเขาชวานกใดที่ขันมีคำปลายยาวนานมาก จัดเป็นนกเขาที่ดีมาก แต่ถ้าคำปลายออกเสียง “...ป๊อก” หรือ “...ต๊าก” จัดว่ายังไม่ออกปลาย
ต้นสั้น เป็นลักษณะเสียงการขันคำต้นของนกเขาชวาที่ไม่ยืดยาว ตรงข้ามกับต้นยาว ซึ่งเป็นลักษณะเสียงการขันคำต้นของนกเขาที่ยืดยาว เสียงขันของนกเขาที่มีต้นสั้นไม่เป็นที่นิยม
กลางชิด เป็นช่วงที่คำต้นและปลายของเสียงนกเขาอยู่ชิดกันขาดช่วงว่างเว้น เช่น “ว้าว...โกง” ขาดคำ “ตะ” หรือ “ละตะ”
ปลายคม เป็นเสียงปลายของนกเขาที่มีความกังวานแหลมบาง นกเขาที่มีปลายคมเป็นที่นิยม
ปลายใหญ่ เป็นเสียงปลายของนกเขาที่มีความห้าวมากกว่าเสียงคำต้น ซึ่งถือว่ายิ่งแตกต่างมากเท่าไร ก็ยิ่งจัดว่าเป็นนกที่มีปลายใหญ่มากเท่านั้น นกที่มีปลายใหญ่เป็นที่นิยม
ปลายเล็ก เป็นเสียงปลายของนกที่มีความแหลมเล็กกว่าคำต้น ซึ่งยิ่งแตกต่างมากเท่าไรก็ถือว่าเป็นนกเขาที่มีปลายเล็กมากเท่านั้น นกเขาที่มีปลายเล็กไม่เป็นที่นิยม
ปลายยาว เป็นเสียงปลายของนกเขาที่มีความกังวานยาวนาน เป็นที่นิยมของนักเล่นนกเขา อย่างยิ่ง บางครั้งก็เรียกว่าปลายยืด
ปลายเบา เป็นเสียงปลายของนกเขาที่ไม่หนักแน่นและไม่ดัง นกเขาที่มีปลายเบาไม่เป็นที่นิยม
ปลายหนัก  เป็นเสียงปลายของนกเขาที่หนักแน่นมีกังวาน นกเขาปลายหนักเป็นที่นิยม
สองปลาย เป็นเสียงขันของนกเขาชวาที่มีเสียงขันซ้ำคำปลาย ๒ ครั้ง เช่น “กู้ ตะ โกง โกง คำ “...โกง โกง” จัดเป็นเสียงขันที่มีคำปลาย ๒ ครั้ง นกเขา ๒ ปลาย ไม่เป็นที่นิยม
ทิ้งปลาย เป็นคำกลางของเสียงนกเขาช่วงจังหวะที่ออกคำปลาย ซึ่งมีทั้งทิ้งปลายดีและทิ้งปลาย ไม่ดี เช่น ถ้าทิ้งปลายดี จังหวะก่อนจะออกปลาย จะมีความชัดเจน ได้แก่ “ว้าว...ตะโกง” และ “ว้าว...ละตะโกง” มีคำกลางคือ ตะ หรือละตะ ส่วนนกเขาที่ทิ้งปลายไม่ดี จังหวะก่อนออกเสียงปลายจะไม่ชัดเจน ได้แก่ “ว้าว...โกง” ขาดคำ “ตะ” หรือ “ละตะ” ซึ่งเป็นคำกลาง
น้ำเสียง คือกระแสความกังวานของเสียงขันของนกเขา ถ้านกเขาชวาตัวใดมีเสียงกังวานมาก ก็จัดว่านกเขาตัวนั้นมีน้ำเสียงดีมาก
เสียงเล็ก เป็นเสียงขันของนกเขาที่มีความแหลมเล็ก ขาดความห้าวของน้ำเสียง
เสียงกลาง เป็นเสียงขันของนกเขาที่มีความแหลมปานกลาง โดยมีความห้าวเจือปนอยู่ด้วย
เสียงใหญ่ เป็นเสียงขันของนกเขาที่มีความห้าว ไม่แหลม เสียงนกเขาชวาที่นิยมเล่นมักจะเป็นเสียงใหญ่ แต่เวลาจัดแข่งขันประกวดเสียง มักจะจัดให้มีการประกวดแข่งขันทั้ง ๓ ประเภท คือ ประเภทเสียงเล็ก เสียงกลาง และเสียงใหญ่
เสียงคม คือ เสียงขันของนกเขาชวาที่มีความแข็งกังวาน นกเขาชวาที่มีเสียงคมเป็นที่นิยม
เสียงยาวี คือ เสียงขันของนกเขาชวาที่ขันแล้วมีความกระด้างขาดความกังวาน นกเขาเสียงยาวี ไม่เป็นที่นิยม
เสียงอาหรับ คือ เสียงขันของนกเขาที่ขันแล้วมีความนิ่มนวลและหวานซึ้ง นกเขาเสียงอาหรับเป็นที่นิยม
เสียงไม่เกลี้ยง หรือ เสียงพร่า คือ เสียงขันของนกเขาที่ขันแล้วเป็นลูกคลื่นและขาดความกังวาน นกเขาเสียงไม่เกลี้ยงหรือเสียงพร่าไม่เป็นที่นิยม
ลีลา คือ คำต้น กลาง และปลายของเสียงนกเขาชวา เมื่อรวมกันจะทำให้ทราบว่า นกเขาชวาตัวใดมีลีลาการขันดีมากหรือน้อยเพียงไร ถ้าหากนกเขานั้นเกิดมีคำต้นลากยาวพอสมควร มีจังหวะกลางทอดยาว และคำลงท้ายนิ่มนวลยืดยาว ก็จัดว่านกเขาตัวนั้นมีลีลาดีเป็นพิเศษ
ตูกากะตู  คือ เสียงขันของนกเขาที่ขันมีคำขึ้นต้นแล้วซ้ำคำกลางและคำปลายหลาย ๆ ครั้งติดกัน เช่น “กู้ กะ ตู กะ ตู กะ ตู” ซึ่งตามปกติแล้วนกเขาจะขันเสียง “กู้ กู กู กู”
ฌาแลแน คือ จังหวะการขันของนกเขาชวา
บือเฤะ คือเสียงของนกเขาที่ขันเสียงไม่ค่อยจะมีปลาย เช่น กล่าวในกรณีที่นกเขาขันดีบ้าง ขันเสียบ้าง ช่วงที่ขันเสียเรียกว่าบือเฤะ
อูโดะฮ์ คือ เสียงขันของนกเขาที่ขันไม่ดี ไม่เป็นที่นิยม
กอเจ๊าะ คือ จังหวะขันของนกเขาที่ขันขึ้นต้นรัวถี่ ซึ่งเป็นจังหวะเสียงที่ไม่ดี เสียงกอเจ๊าะไม่เป็นที่นิยม
หน้าม้วน คือ เสียงคำขึ้นต้นของนกเขาชวาที่ตวัดโค้งเป็นวงกลม เสียงแบบนี้เป็นที่นิยม

เสียงนกเขาชวา

เสียงนกเขาชวาจัดแบ่งประเภทได้ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

นกเขาชวาเสียงธรรมดา ได้แก่ นกเขาชวาที่เสียงขาดความกังวาน ไม่ว่าจะเป็นนกเขาชวาเสียงเล็ก เสียงกลาง หรือเสียงใหญ่ ก็ตาม ถ้าเสียงขันขาดความกังวานก็จัดเป็นนกเขาเสียงธรรมดาทั้งสิ้น คือเสียงขันไม่มีเสียง โกง โวง โปง แต่จะเป็นเสียง กุก กุ๊ก ต๊าก ป๊อก
นกเขาชวาเสียงมีปลาย ได้แก่ นกเขาชวาที่เสียงมีความกังวานท้าย หรือมีความกังวานหลัง หรือจะเรียกว่าปลายมีกังวานก็ได้ นกเขาชวาเสียงมีปลายจัดเป็นนกเขาที่ดีเข้าขั้น (คำว่า “มีปลาย” เป็นศัพท์ทางภาคใต้ ภาคกลางจะใช้ศัพท์ว่า มีกังวาน ส่วนภาษามลายูจะใช้ “อูยง”)

นกเขาชวาจะขันโดยแบ่งเป็น ๓ ตอน เรียกว่าขัน ๓ จังหวะ มีคำศัพท์เรียกต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกัน ดังนี้

หัว กลาง ท้าย
ต้น กลาง ปลาย (ภาคใต้)
หน้า กลาง หลัง
กูหน้า กลาง กูหลัง
อูมี ตือเงาะฮ์ อูยง (มลายู)
ส่วนนกเขาชวาที่ขันมีคำต้นกับปลายเท่านั้น ก็จัดว่าเป็นนกเขาขัน ๒ จังหวะ

ลีลาการขันของนกเขาชวา

มี ๓ จังหวะ คือ

๑. ลีลาจังหวะเร็ว ได้แก่ นกเขาที่ขันถี่ ขันเร็ว ขันรัว
๒. ลีลาจังหวะช้า ได้แก่ นกเขาที่ขันคำห่าง ๆ คือ เวลาขันแต่ละคำจะมีการเอื้อนเว้นจังหวะ
๓. ลีลาจังหวะธรรมดา ได้แก่ นกเขาที่ขันไม่เร็วไม่ช้า

จากพระราชตำรับในพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับเรื่องนกเขาชวาได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า นกเขาใหญ่ นิยมขันเร็วดีมีคารม นกเขาเล็กนิยมขันช้ากังวานไพเราะ” นกเขาชวานิยมลีลาการขันในจังหวะช้า นกเขาที่ขันเสียงจังหวะช้าจัดว่าเป็นนกเขาเสียงดี

ขนาดของเสียงนกเขาชวา

เสียงนกเขาชวามี ๓ ขนาด คือ เสียงใหญ่ เสียงกลาง และเสียงเล็ก โดยปกตินกเขาชวาเสียงใหญ่จะมีราคาแพงกว่านกเขาชวาเสียงกลางและเสียงเล็ก แต่ในสนามแข่งขันประกวดเสียงนกเขาชวามักจัดให้มีการแข่งขันเสียงนกเขาทั้ง ๓ ขนาดเสมอ

อันดับเสียงนกเขาชวาในภาคใต้

ทางภาคใต้ได้จัดอันดับราคานกเขาชวาไว้ดังนี้
๑. นกเขาชวาเสียงใหญ่ จะมีราคาแพงกว่านกเขาชวาเสียงกลางและนกเขาชวาเสียงกลางจะมีราคาแพงกว่านกเขาชวาเสียงเล็ก (ในกรณีที่เป็นนกเขาชวาเสียงดีเหมือน ๆ กัน)
๒. นกเขาชวาที่ขันจังหวะช้า จะมีราคาแพงกว่านกเขาชวาที่ขันจังหวะธรรมดาและขันจังหวะเร็ว
๓. นกเขาชวาที่ขันเสียงท้ายกังวานมาก จะมีราคาแพงกว่านกเขาชวาที่ขันเสียงท้ายมีกังวานน้อย และเสียงท้ายยาวที่มีความกังวาน จะมีราคาแพงกว่านกเขาชวาที่ขันเสียงท้ายสั้นที่มีความกังวาน รวมทั้งเสียงหน้ายาวจะดีกว่าและแพงกว่าเสียงหน้าสั้นด้วย

โดยปกตินกเขาชวาจะขันออกเสียงเมื่อมีเหตุดังนี้

๑. ขันเพื่อเกี้ยวพาราสีนกเขาเพศเมีย
๒. ขันเพื่อขออาหารและขอน้ำ เพราะโดยปกตินกเขาชวาจะขันนิดหน่อยก่อนเสมอ ที่จะกระโดดมากินข้าวกินน้ำ แต่ถ้านกเขาเกิดขันนานผิดปกติ คนเลี้ยงนกเขาจะต้องรีบดูที่ถ้วยน้ำและถ้วยอาหาร เพราะบางทีน้ำอาจแห้งหรืออาหารอาจหมด
๓. ขันเพราะว้าเหว่
๔. ขันเพราะได้ยินเสียงนกต่อ


หลักการสังเกตลักษณะนกเขาชวาเพื่อรู้เสียงขัน

การสังเกตลักษณะรูปร่างของนกเขาชวา บางทีก็สามารถทำให้รู้ได้ว่าเป็นนกเขาที่จะมีโอกาสเป็นเสียงดีในอนาคตหรือไม่ ลักษณะที่สังเกตเพื่อรู้เสียงนกเขาชวา ได้แก่

 ๑. ลักษณะหัว นกเขาชวาที่มีหัวยาว ท้ายทอยยื่นมาก คือ มีหัวโหนกทั้งหน้าผากและท้ายทอยยาว มักจะเป็นนกที่ขยันขัน (นกเขาชวาที่เสียงดี แต่ถ้าไม่ขยันก็ไร้ประโยชน์ จึงต้องให้มีเสียงดีและขยันด้วย)
 ๒. ลักษณะรูจมูก นกเขาชวาที่มีรูจมูกยาวเป็นเส้นตรง ซึ่งอาจจะไม่ต้องตรงเหมือนเส้นตรงก็ได้ ลักษณะรูจมูกแบบนี้มีส่วนช่วยให้เกิดลำเสียงที่ยาวบาง นกเขาที่มีลักษณะแบบนี้จะขันยาวและใสบาง
 ๓. ลักษณะปาก นกเขาชวาที่มีกระดูกสันปากหนาและสูง โดยดูจากภายในปากจะเป็นนกที่เก็บลมได้มาก ลักษณะแบบนี้มีโอกาสเป็นนกเขาเสียงใหญ่
 ๔. ลักษณะคอ นกเขาชวาที่มีลำคอพองใหญ่ และภายในลำคอกว้างใหญ่มักจะเป็นนกเขาที่มีเสียงใหญ่
 ๕. ลักษณะลิ้น นกเขาชวาที่มีปลายลิ้นมน ยาวบาง คอด และห่อเป็นร่องมากมักจะเป็นนกเขาที่มีเสียงขันดี
 ๖. ลักษณะลำตัว  นกเขาชวาที่มีลำตัวคล้ายดอกบัวหรือปลีกล้วย หน้าอกย้อย (เนื้อหน้าอกมาก) มักมีปอดใหญ่และเก็บลมได้มาก ลักษณะแบบนี้มักจะมีเสียงขันดีไพเราะกังวาน
 ๗ลักษณะหาง นกเขาชวาที่มีหางยาวและมากเส้น จะมีน้ำหนักซึ่งมีส่วนช่วยให้เสียงขันมีน้ำหนัก และมีจังหวะดีขึ้นเพราะมีน้ำหนักถ่วงดุลพอดี แต่นกเขาชวาที่มีหางสั้นก็มักจะขยันขันและขันได้ทน
 ๘.  ลักษณะนิ้ว นกเขาชวาที่มีปลายนิ้วชี้และนิ้วก้อยโตกว่านิ้วกลาง มักจะเป็นนกเขาที่มีเสียงขันดังกังวาน ปลายชัด หรือปลายใหญ่แบบที่ชาวไทยมุสลิมภาคใต้เรียกว่า “อูยงบือซา”

หลวงทิพวาทีได้กล่าวถึงลักษณะนกเขาที่จะมีเสียงขันดีไว้ ดังนี้
๑. นกใดปากยาว นกนั้นจะคูยาว
๒. นกใดจมูกพองอย่างนกพิราบ นกนั้นจะมีเสียงกังวาน
๓. นกใดที่บนกลางจมูกมีเส้นเป็นร่องเห็นชัด นกนั้นจะมีกุกหาย คือจะมีแต่คูเท่านั้น
๔. นกใดที่ปลายปากล่างพอง ไม่เรียว นกนั้นจะกุกพอง กุกเพราะและเบา ถ้าปลายปากเรียวแหลม นกนั้นจะกุกแข็งและหนัก
๕. นกใดมีขนเคราใต้ปากมากกว่าธรรมดา นกนั้นจะมีเสียงอ่อนหวานและเสียงอบดี
๖. นกใดรูจมูกยาว และรูจมูกไม่ปิด นกนั้นจะมีเสียงดังและเสียงขึ้นอ่าง
๗. นกใดคอยาว คอเรียว เหนียงใหญ่พอง นกนั้นจะมีเสียงใหญ่ ถ้าคอสั้นเสียงเล็ก ถ้าคอพองและยาวตลอด นกนั้นจะมีเสียงใหญ่ ถ้าคอสั้นพองตลอดไม่เรียว เสียงจะใหญ่แข็ง
๘. นกใดลายขนเรียงเป็นแถวเดียวตามขวางตัวนั้น กุกไม่ซ้ำถ้าลายซับซ้อน นกนั้นกุกซ้ำ ไม่กุกเดียว

ยาบำรุงเสียงนกเขาชวา 

นกเขาชวามียาสำหรับบำรุงเสียง เพื่อช่วยให้นกเขาชวาที่ขันเสียงตกได้ขันดีขึ้น และมียาบำรุงให้นกเขาชวาคึกคักขยันขัน ช่วยให้นกเขาชวาขันได้ที่ได้ขนาดพอที่จะส่งเข้าประกวด ยาบำรุงเสียงนกเขาชวาถือว่าเป็นยาพิเศษ ได้แก่

 ๑. ยาบำรุงเสียงนกเขาที่ขันเสียงตก ยาชนิดนี้ใช้ได้ในกรณีที่นกเขาชวาที่เคยขันดีเสียงไพเราะกังวานมาก่อน แล้วเกิดขันเสียงตก ก็ให้หาขิงจำนวนสักเล็กน้อยมาผสมกับพริกไทยและนำมาตำคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วจึงเอาตับปลาหมอที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพริกขี้หนูมาเคลือบบาง ๆ นำไปป้อนให้นกกินในตอนเช้า ประมาณ ๓ หรือ ๗ วันต่อครั้ง จะช่วยให้เสียงนกเขาขันดีขึ้น
ยาบำรุงให้นกเขาคึกคักและขยันขัน ยานี้ใช้ได้ดีในกรณีที่นกเขาหงอยเหงาและไม่ค่อยยอมขัน ให้เอาข้าวสารมาคั่วพอสุกแล้วนำมาคลุกกับนมเคล้าให้เข้ากันดีแล้วตากแห้ง เก็บไว้ในภาชนะอย่างดี โดยให้นกเขากินตอนเช้าครั้งละ ๑๐ เม็ดก่อน แล้วจึงให้ข้าวเปลือกเมล็ดสั้นในตอนสาย ๆ หลังจากนำนกเขาผึ่งแดดเรียบร้อยแล้ว ให้ทำทุก ๓ หรือ ๗ วัน นกเขาก็จะคึกคักและขยันขัน หรือไม่ก็ใช้ข้าวฟ่างคลุกกับไข่แดงตากแห้งป้อนให้นกกิน
 ๓.  ยาบำรุงให้นกเขาอาดเร็ว นกเขาที่ “อาดแล้ว” จะขยันขัน และขันได้ที่ได้ขนาดพอที่จะส่งเข้าประกวดในสนามแข่งขันได้ ยาที่ช่วยบำรุงให้นกเขาอาดเร็ว หรือที่คนภาคกลางพูดว่า “ขึ้นเร็ว” นั้น ให้เอายอดอ่อนของใบชุมเห็ด ๓ ยอด ใบกะเพราแดง ๓ ยอด มาโขลกให้ละเอียดยุ่ยเป็นเนื้อเดียวกันแล้วเอามันของปูนา (ปูนาที่ชอบกัดกินต้นข้าวในนา) มาสัก ๑ ตัว โดยเอาแต่ “มัน” เท่านั้น มาคลุกเคล้า จากนั้นจึงนำไปตากแดดพอให้หมาด อย่าให้แห้งมากเกินไป ปั้นเป็นเม็ดยาว ๆ ขนาดพริกขี้หนูมาป้อนให้นกเขาในตอนเช้าครั้งละ ๒-๓ เม็ด ทุก ๓ หรือ ๗ วันต่อครั้ง นกเขาก็จะอาดเร็ว

การแข่งขันประกวดเสียงนกเขาชวา

          ในสมัยโบราณทางภาคกลางนิยมประกวดลักษณะนกเขาที่ให้โชคให้ลาภตามตำรา ส่วนทางภาคใต้นิยมประกวดนกเขาที่เสียงดีไพเราะกังวาน ปัจจุบันทั้งภาคกลางและภาคอื่น ๆ รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศมาเลเซีย ก็นิยมประกวดเสียงนกเขาชวาเหมือนภาคใต้ การประกวดเสียงนกเขาชวา จะต้องคำนึงถึงสนามแข่งขันเป็นสำคัญ สนามที่ใช้เป็นสนามแข่งขันต้องเป็นสถานที่สงบเงียบ การจัดเสารอกนกก็ต้องจัดให้มีความสูงเท่า ๆ กันทุกเสา และจัดให้มีระยะห่างกันพอสมควร เพื่อเวลาที่กรรมการตัดสินให้คะแนนจะได้เดินฟังรอบสนามนกได้สะดวก กรรมการตัดสินเสียงนกเขาชวามักเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญในการฟังเสียงนก และมักเป็นผู้ที่นักเล่นนกเขาทั่วไปเชื่อถือว่า “หูถึง” ในการฟังเสียงนก กรรมการตัดสินเหล่านี้มักจะรับเชิญด้วยใจรัก ไม่หวังค่าตอบแทน และต้องทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ในสมัยก่อนนกเขาชวาที่ส่งเข้าประกวด มักจะเป็นนกเขาที่คณะกรรมการจัดงานเชื้อเชิญด้วยจดหมายให้ส่งเข้าประกวด โดยไม่ต้องเขียนใบสมัครหรือเสียค่าสมัครแต่อย่างใด แต่ปัจจุบันผู้ที่จะนำนกเขาชวาของตนไปประกวดจะต้องนำนกไปสมัครประกวด ต้องเขียนใบสมัคร และต้องเสียค่าสมัครตามประเภทของนก จากนั้นก็จะได้หมายเลขเสารอกนกที่จะนำนกเขาไปขึ้นรอกเพื่อประกวดแข่งขัน สมัยก่อน เจ้าของนกเขาที่ได้รับเชิญมาประกวดจะต้องจ่ายค่าพาหนะ ค่าที่พัก ในการนำนกเขาของตนมาประกวดเองทั้งสิ้น สมัยปัจจุบันก็ยังคงปฏิบัติเช่นนี้ นอกจากบางครั้งเท่านั้นที่นายกสมาคมนกเขาบางสมัยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดแก่ผู้ที่นำนกมาประกวดจากต่างจังหวัด แต่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมาก ถ้วยรางวัลสมัยก่อน ก็ขอจากข้าราชการในวงการราชการหรือขอจากคหบดีในท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงปฏิบัติเช่นนี้ แต่บางครั้งคณะกรรมการก็ได้เอาเงินค่าสมัครจากผู้นำนกเขาเข้าประกวดไปจัดซื้อของอื่น ๆ เป็นรางวัลชมเชยก็มี บางครั้งก็ยังมีการเลี้ยงอาหารแก่ผู้นำนกมาประกวด บางครั้งก็ยังเหลือเงินไปทำทุนอะไรก็ได้ตามวัตถุประสงค์ของกรรมการ ในสมัยก่อนถือเป็นมารยาท ถ้านกเขาชวาตัวใดเคยชนะการประกวดมาหลายครั้งแล้ว เจ้าของนกเขามักจะขอถอนตัวไม่ส่งเข้าประกวดอีก แต่จะช่วยให้งานประกวดนกเขาชวาครึกครื้น โดยการนำนกเขาของตนขึ้นชักรอกให้ฟังเป็นการโชว์เท่านั้น แต่ปัจจุบันไม่มีการโชว์แบบนี้ นกเขาที่เคยชนะประกวดแล้วก็ยังส่งเข้าประกวดอีก ซึ่งบางครั้งก็ไม่ติดอันดับเลย เพราะนกเขาที่เคยประกวดชนะแล้วเกิดไม่ยอมขันในการประกวดครั้งใหม่

โดยปกติผู้ที่จะนำนกเขาเข้าประกวดแข่งขันเสียง มักจะตั้งชื่อนกเขาของตนเพื่อให้จำได้ง่าย ต้องเขียนชื่อเจ้าของนกและชื่อนกในใบสมัคร

          เวลาที่แข่งขันมักเป็นช่วงระหว่างเวลา ๐๘.๐๐-๑๑.๐๐ นาฬิกา ที่ต้องยืดระยะเวลายาวเช่นนี้ ก็เพราะในช่วงตอนเช้านกเขาบางตัวจะขันโกรกเพียงอย่างเดียว หรือจะขันโกรกแล้วขันโยนคำสองคำ แต่พอถึงเวลาแดดจัดหน่อยจึงจะเริ่มขันโยนมากขึ้น คือนกเขาบางตัวจะขันตอนช่วงเวลาเช้า แต่นกเขาบางตัวจะขันตอนช่วงเวลาใกล้เที่ยง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการตัดปัญหาด้วยการยืดระยะเวลาแข่งขันให้ยาวออกไป เพื่อให้โอกาสแก่นกเขาทุกตัว ปกติเสียงนกเขาจะแบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ เสียงใหญ่ หรือ Class A เสียงกลาง หรือ Class B และเสียงเล็ก หรือ Class C แต่ปัจจุบันมีประเภทเสียงรวมด้วย การประกวดนกเขามักให้คะแนนเสียงนกเขาไว้ ๑๐๐ คะแนนเสมอ ส่วนจะแบ่งให้อะไร เท่าไรก็แล้วแต่การพิจารณาของกรรมการชุดนั้น ๆ

สมัยก่อนได้แบ่งคะแนนไว้ดังนี้

ก. ปลายนิยม ๔๐ คะแนน แบ่งเป็น
๑. ความกังวาน ๓๐ คะแนน
๒. ความสม่ำเสมอ ๑๐ คะแนน
ข. ต้น ๒๐ คะแนน
ค. จังหวะ ๒๐ คะแนน
ง. ขันทน ๒๐ คะแนน

ปัจจุบันกรรมการบางชุดให้คะแนนไว้ดังนี้
ก. เสียงต้น ๑๕ คะแนน
ข. เสียงปลาย ๓๐ คะแนน
ค. จังหวะ ๒๐ คะแนน
ง. ความขยัน ๑๕ คะแนน
จ. น้ำเสียง ๒๐ คะแนน

การให้คะแนนต่างกันตามความเห็นของกรรมการแต่ละชุดแต่ละสนาม แต่รวมแล้วก็ไม่เกิน ๑๐๐ คะแนน ต่อมาสมาคมผู้เลี้ยงนกเขาชวาแห่งประเทศไทย ได้วางกติกาการตัดสินประกวดแข่งขันนกเขาชวาเสียง ฉบับ พ.ศ. ๒๕๒๖ ไว้ดังนี้

๑. การตัดสินแบ่งออกเป็น ๒ ยก ยกละ ๙๐ นาที
๑.๑ ยกที่ ๑ คือ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐-๑๐.๐๐ นาฬิกา
๑.๒ ยกที่ ๒ เกินจากเวลา ๑๐.๐๐-๑๑.๓๐ นาฬิกา เป็นการสิ้นสุดในการตัดสิน
๒. การให้คะแนนสูงสุดความดีของนก แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท
๒.๑ ประเภทที่ ๑ หรือเรียกว่า ดีประเภท ๑ เพดานการให้คะแนนสูงสุดร้อยละ ๘๖-๙๐
๒.๒ ประเภทที่ ๑ หรือเรียกว่า ดีประเภท ๒ เพดานการให้คะแนนสูงสุดร้อยละ ๘๑-๘๕
๒.๓ ประเภทที่ ๑ หรือเรียกว่า ดีประเภท ๓ เพดานการให้คะแนนสูงสุดร้อยละ ๗๕-๘๐

การตั้งเพดานการให้คะแนนสูงสุด หมายถึงระดับการให้คะแนนสำหรับความดีของนก ซึ่งขันเข้ากติกาที่กำหนดไว้ โดยเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ความดีของนกไว้เป็นแต่ละประเภท เพื่อเป็นมาตรฐานการให้คะแนนในการประกวดแข่งขันนกเขาชวาเสียง ระดับการให้คะแนนดังกล่าวจึงเรียกว่า เพดานการให้คะแนน

๓. พิจารณาจากนกที่ขันจับตับยาว คือตั้งแต่ ๓๑ คำขึ้นไป แต่ทั้งนี้จะต้องขันไม่น้อยกว่า ๔ ตับ หรือขันตับเดียวไม่น้อยกว่า ๑๐๐ คำ ใน ๑ ยก และเปิดปลายนิยมสม่ำเสมอ จึงจะพิจารณาความดีของนกให้คะแนนตามประเภทที่กำหนดเอาไว้ได้ สำหรับนกซึ่งขันจับตับสั้น คือตั้งแต่ ๒๐-๓๐ คำลงมา และต้องขันจับตับไม่น้อยกว่า ๖ ตับ และเปิดปลายนิยมสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าความดีของนกจะอยู่ในประเภท ที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ก็ตาม หากขันจับตับสั้น การให้คะแนนต้องลดลงตามส่วน เหตุที่ลดลงตามส่วนเพราะการกำหนดเพดานการให้คะแนนสูงสุดดังกล่าว หมายถึงความดีของนก ซึ่งขันจับตับยาวและขันตามกติกาที่กำหนดไว้เท่านั้น
๔. พิจารณาจากนกที่ขันจับตับยาวและเปิดปลายนิยมสม่ำเสมอเกินกว่าร้อยละ ๕๐ ขึ้นไป และนกที่ขันจับตับยาวเปิดปลายต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ลงมา การให้คะแนนก็ลดลงตามส่วน แต่ทั้งนี้การให้คะแนนต้องคำนึงถึงความดีของนกเป็นหลักในการพิจารณาการให้คะแนน
๕. นกผิดประเภทเสียงให้อยู่ในดุลยพินิจของกรรมการตัดสิน โดยถือเสียงข้างมากเป็นหลัก แต่ทั้งนี้จะต้องพิจารณาจากนกที่ขันจับตับแล้ว ส่วนนกที่โกรกแกมโยนยังไม่ถือว่าผิดประเภทเสียง แต่ถ้าหากว่ากรรมการตัดสินลงความเห็นคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานเสียงเป็นผู้ชี้ขาด โดยประธานเสียงอาจจะขอคำแนะนำจากประธานกรรมการตัดสินก่อนชี้ขาด เพื่อทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม
๖. นกผิดประเภทเสียงจะต้องถือพื้นเสียงนกเป็นหลักในการพิจารณา โดยมิได้เจาะจงคำหน้าหรือคำปลายหรือคำกลางมาเป็นหลักในการพิจารณา แต่ให้ถือคำขันทั้งประโยคของนกเป็นหลักในการพิจารณา ฉะนั้นนกที่ผิดประเภทเสียงให้ถือพื้นเสียงในรูปประโยคคำขันเป็นหลัก
๗. สำหรับนกที่โกรกแกมโยนในยกที่ ๑ ผ่านไปแล้ว ยังไม่ถือว่าผิดประเภทเสียง แต่มาในยกที่ ๒ ถ้าขันจับตับและผิดประเภทเสียงให้ถือว่าผิดประเภทเสียง
๘. สำหรับนกที่ขันจับตับในยกที่ ๑ ผ่านไปแล้ว และกรรมการตัดสินได้พิจารณาให้คะแนนไปแล้วด้วย ปรากฏว่าในยกที่ ๒ ผิดประเภทเสียงให้ถือว่าเป็นความดีของนก กรรมการตัดสินต้องพิจารณาให้คะแนนต่อไป ไม่ถือว่าผิดประเภทเสียงในการแข่งขันครั้งนั้น
๙. หากนกมีคะแนนเท่ากัน ให้พิจารณาความดีของนกเป็นหลักที่จะชี้ขาด แต่ทั้งนี้ให้ถือคะแนนของกรรมการตัดสินเสียงข้างมากเป็นหลัก หากกรรมการตัดสินมีคะแนนเสียงในการให้คะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานเสียงเป็นผู้ชี้ขาด แต่ทั้งนี้ประธานเสียงอาจจะขอคำปรึกษาจากประธานคณะกรรมการตัดสิน ก่อนการชี้ขาด เพื่อทรงไว้ซึ่งความเป็นธรรม
๑๐. คำขันของนกเขาชวาเสียงซึ่งเรียกว่า “ประโยคคำขัน” ในประโยคคำขันแต่ละคำของนกเขาชวาเสียง ประกอบด้วยพยางค์ ในการกำหนดการให้คะแนน ให้คำนึงและยึดหลักตามความสำคัญ ของความไพเราะของน้ำเสียงในประโยคของคำขันของแต่ละพยางค์ รวมกันแล้วได้ ๑๐๐ คะแนน ดังนี้ คือ
๑๐.๑ พยางค์หน้า ให้คะแนนสูงสุด ๒๐ คะแนน
๑๐.๒ พยางค์กลาง ให้คะแนนสูงสุด ๑๐ คะแนน
๑๐.๓ จังหวะ ให้คะแนนสูงสุด ๑๕ คะแนน
๑๐.๔ น้ำเสียง ให้คะแนนสูงสุด ๒๕ คะแนน
๑๐.๕ พยางค์ปลาย ให้คะแนนสูงสุด ๓๐ คะแนน
๑๑. การให้คะแนนของกรรมการตัดสิน จะพิจารณานกทุกตัวที่ขันตามกติกาที่กำหนดไว้ดังกล่าวข้างต้น และให้กรรมการตัดสินส่งผลการให้คะแนนแต่ละยกให้ประธานเสียงเป็นผู้รวบรวม เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับคะแนนของประธานเสียงซึ่งให้ไว้แล้วเพื่อความถูกต้องและความยุติธรรม โดยมีอนุกรรมการและประธานคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้รวบรวมคะแนนอีกขั้นหนึ่ง
๑๒. คณะกรรมการตัดสินที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินต้องทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม และเพื่อความเรียบร้อยให้ถือจรรยาบรรณในการตัดสินเป็นหลัก จรรยาบรรณดังกล่าว คือ
๑๒.๑ เป็นผู้ไม่เอาดีเข้าตัว หรือพูดเอาแต่ประโยชน์ของตัวเป็นที่ตั้ง
๑๒.๒ เป็นผู้ให้ความเป็นธรรมแก่นก ไม่ยึดถือราคานก หรือตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของนกเป็นอุปาทานยึดมั่น
๑๒.๓ ต้องไม่คาดคะเนตำแหน่งการตัดสินแก่ผู้เป็นเจ้าของนก หรือผู้ฟังข้างสนามก่อนมีผลการตัดสิน
๑๒.๔ ต้องยอมรับมติส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และยอมรับผิดชอบร่วมด้วยในผลสรุปของการตัดสิน
๑๒.๕ การชี้แจงผลการตัดสินต้องอยู่ในขอบเขตข้อตกลง โดยประธานกรรมการตัดสินเป็นผู้ชี้แจงเอง หรือมอบหมายผู้อื่นเป็นครั้งคราว

ดูเพิ่มเติม นกเขา วิธีดูลักษณะ


ชื่อคำ : นกเขาชวา
หมวดหมู่หลัก : ธรรมชาติ ชีวิต และสิ่งแวดล้อม
หมวดหมู่ย่อย : สัตว์
ชื่อผู้แต่ง : มัลลิกา คณานุรักษ์
เล่มที่ : ๘
หน้าที่ : ๓๕๗๗